ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร SYNTEC ที่ระดับ “BBB-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 27, 2012 16:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำด้านงานก่อสร้างอาคารสูง ตลอดจนประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้าง และงบดุลที่แข็งแกร่งของบริษัท ทว่าจุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรง งานก่อสร้างที่ไม่หลากหลาย ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ว่าจ้าง และผลกำไรที่อ่อนไหวต่อต้นทุนค่าแรงและราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากการที่ลักษณะของสัญญาก่อสร้างส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นแบบคงที่ (Fixed-price Contract)

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจงานก่อสร้างภาคเอกชนเอาไว้ได้ ผลการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงหลังของปี 2555 หลังจากเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ที่มีอัตรากำไรที่ดีขึ้น ทั้งนี้ หากบริษัทไม่สามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานให้ดีขึ้นหรือไม่สามารถรักษาภาระหนี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ก็อาจเพิ่มแรงกดดันในการปรับลดอันดับเครดิต

ทริสเรทติ้งรายงานว่า SYNTEC ก่อตั้งในปี 2531 โดยเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างทั่วไปขนาดกลางซึ่งมีความชำนาญในการก่อสร้างอาคารสูง ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นผู้ประกอบการภาคเอกชนซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ ตลอดจนโรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรม แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วงานรับเหมาก่อสร้างภาคเอกชนจะให้กำไรในอัตราที่สูงกว่างานของภาครัฐ แต่ก็มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจมากกว่า ดังนั้น บริษัทจึงมีความเสี่ยงจากอุปสงค์งานก่อสร้างที่ลดลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากปัญหาด้านเครดิตของลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเอกชนด้วย ความสามารถในการคัดกรองและรักษาลูกค้าที่มีคุณภาพเอาไว้ให้ได้จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จของบริษัท ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้สั่งสมชื่อเสียงในด้านคุณภาพและความน่าเชื่อถือในงานก่อสร้างจนส่งผลให้มีลูกค้าเก่าที่กลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง อาทิ บมจ. ศุภาลัย(SPALI) บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MAJOR) และกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า เนื่องจากสัญญาก่อสร้างส่วนใหญ่ของ SYNTEC มีลักษณะเป็นแบบคงที่ ดังนั้นบริษัทจึงประสบกับปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างที่ผันผวนเช่นเดียวกับผู้รับเหมาก่อสร้างรายอื่น ๆ ในประเทศไทย บริษัทได้พยายามลดความเสี่ยงดังกล่าวด้วยการทำสัญญาซื้อวัสดุก่อสร้างไว้ล่วงหน้าเมื่อมีโอกาสเพื่อเป็นการควบคุมต้นทุนการก่อสร้าง รวมทั้งพยายามลดความสูญเสียของงานก่อสร้างลงโดยการควบคุมความคืบหน้าของงานก่อสร้างอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยลดโอกาสในการขาดทุนจำนวนมากจากปัจจัยที่ไม่คาดคิดเมื่อสิ้นสุดโครงการ ณ เดือนมีนาคม 2555 บริษัทมีงานคงค้างที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวน 27 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 6,482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปี 2554 ทั้งนี้มูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบคิดเป็น 1.37 เท่าของรายได้ของบริษัทในปี 2554

ผลประกอบการของบริษัทในปี 2554 อ่อนแอกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยหากไม่นับรายการโอนกลับเจ้าหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 82 ล้านบาทแล้ว กำไรสุทธิของบริษัทจะลดต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรสุทธิที่ต่ำที่สุดในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่อ่อนแอในปี 2554 ประกอบด้วย รายได้ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ซึ่งเป็นผลมาจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคกลางในช่วงไตรมาส 4/54 โครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมหรูหลายโครงการซึ่งมีต้นทุนการก่อสร้างสูงกว่าที่บริษัทได้ประมาณการไว้ และการที่บริษัทได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ

ในปี 54 บริษัทได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 138 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับโครงการบ้านเอื้ออาทร ดังนั้นจึงทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงมาอยู่ที่ 1.8% ในปี 2554 จาก 4.12% ในปี 2553 ทั้งนี้ แรงกดดันที่มีต่ออัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานยังคงต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2555 โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลงมาอยู่ที่ -2.33% ถึงแม้ว่าโครงการที่บริษัทดำเนินการก่อสร้างจะไม่ถูกน้ำท่วม แต่ผลจากน้ำท่วมในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ก็ทำให้โครงการก่อสร้างหลายโครงการล่าช้าลง ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างจึงเพิ่มสูงขึ้น การปรับเพิ่มขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ 300 บาท ณ เดือนเมษายน 2555 ก็คาดว่าจะส่งผลทำให้กำไรของบริษัทลดลงเนื่องจากมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นโครงการที่มีการลงนามในสัญญาก่อนปี 2555 และเป็นสัญญาที่กำหนดราคาว่าจ้างไว้แน่นอน ดังนั้น บริษัทจึงต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในโครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงหลังของปี 2555 หลังจากโครงการเก่าที่มีต้นทุนสูงแล้วเสร็จ นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ โดยโครงการใหม่ที่มีการลงนามในสัญญาในปี 2555 นั้นบริษัทใช้ค่าแรงขั้นต่ำอัตราใหม่ในการคำนวณต้นทุนในการประมูลโครงการ ซึ่งจะส่งผลทำให้บริษัทมีกำไรสูงกว่าโครงการเดิมที่ยังไม่ส่งมอบ ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2555 ประมาณ 28% ของมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบของบริษัทได้คิดรวมต้นทุนค่าแรงงานขั้นต่ำอัตราใหม่ในมูลค่างานก่อสร้างแล้ว

แม้ว่า SYNTEC จะมีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทก็ยังสามารถรักษางบดุลที่แข็งแกร่งรวมทั้งกระแสเงินสดที่เพียงพอเอาไว้ได้ โดย ณ เดือนมีนาคม 2555 ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ที่ 661 ล้านบาท ลดลงจาก 703 ล้านบาทในปี 2554 ในขณะที่เงินสดในมือที่ไม่ติดภาระค้ำประกันและเงินลงทุนระยะสั้นอยู่ที่ 275 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% ของภาระหนี้คงค้าง โครงสร้างเงินทุนของบริษัทมีความแข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 22.77% อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 อยู่ที่ 11.13% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) และคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2555 จากการที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนการจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาทในโครงการอพาร์ทเมนต์ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะส่งผลทำให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิน 40% ในช่วงการลงทุนเอาไว้ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ