กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดย ธ.ธนชาต จก. มหาชน สัดส่วนการลงทุน 19% ตั๋วแลกเงินออกโดย ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย สัดส่วนการลงทุน 19% ตั๋วแลกเงินออกโดย บ. อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จก. (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 19% เงินฝากธนาคาร Commercial Bank of Qatar (กาตาร์) สัดส่วนการลงทุน 10% เงินฝากธนาคาร Standard Chartered Bank (สิงคโปร์) สัดส่วนการลงทุน 10% เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์) สัดส่วนการลงทุน 18% และเงินธนาคาร Abu Dhabi Commercial Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์) สัดส่วนการลงทุน 5%
นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 2.85% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป
นายฉัตรพี กล่าวอีกว่า ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย ในช่วง 3 เดือน ถึง 1 ปีข้างหน้าที่ระดับปานกลาง (Neutral) และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ในระดับร้อยละ 2.75 โดยมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะปรับขึ้นในระยะถัดจากนี้ และยังมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหากมีความจำเป็น ทั้งนี้เพื่อชดเชยผลกระทบจากวิกฤติการเงินในยุโรปและสหรัฐ
ทั้งนี้ บริษัทยังได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ไทยในปี 55 และปี 56 ลงสู่ระดับร้อยละ 5.55 และ 6.73 ตามลำดับ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 5.68 และ 7.35 ตามลำดับ หากแต่ยังคงสูงกว่าที่ตลาดโดยรวมคาดไว้ โดยยังคงคาดว่าแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยจะมาจากการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ