ทริส คงอันดับเครดิตองค์กร"เอสโซ่ (ประเทศไทย)"ที่ระดับ A+/Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 8, 2013 14:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในธุรกิจปิโตรเลียมในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ตลอดจนโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานผลิตอะโรเมติกส์ที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง และการสนับสนุนที่เข้มแข็งจาก Exxon Mobil Corporation (ExxonMobil) และบริษัทในเครือ

ทั้งนี้ ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความผันผวนในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ตลอดจนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกด้วย

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะที่แข็งแกร่งทั้งในส่วนของผลประกอบการและการตลาดในธุรกิจปิโตรเลียมในประเทศไทยเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะดำรงสภาพคล่องให้เพียงพอและยังคงได้รับการสนับสนุนจาก ExxonMobil ต่อไปเพื่อที่จะสามารถรองรับความผันผวนของธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมีได้

ESSO เป็นบริษัทในเครือ ExxonMobil บริษัทบริหารจัดการโรงกลั่นน้ำมันจำนวน 1 โรงจากทั้งหมด 29 โรงที่มีอยู่ทั่วโลกของ ExxonMobil ปัจจุบันผู้ถือหุ้นของบริษัท ประกอบด้วย ExxonMobil ในสัดส่วน 66% กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ในสัดส่วน 7.3% และนักลงทุนทั่วไป 26.7% บริษัทประกอบกิจการโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) ด้วยกำลังการผลิตสูงสุดที่ 174,000 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16% ของการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของไทย

บริษัทจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตได้ให้แก่กลุ่มลูกค้าพาณิชย์และจำหน่ายผ่านสถานีบริการในเครือข่าย ณ สิ้นเดือน ก.ย.55 มีสถานีบริการน้ำมันที่บริหารงานภายใต้เครื่องหมายการค้า “เอสโซ่" จำนวน 517 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินการผลิตและจำหน่ายสารอะโรเมติกส์ด้วย โดยบริษัทมีกำลังการผลิตสารพาราไซลีน (Paraxylene — PX) ทั้งสิ้น 500,000 ตันต่อปี ซึ่งโรงงาน PX ดังกล่าวเชื่อมต่อกับโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทเพื่อรับวัตถุดิบสำหรับการผลิต

การดำเนินธุรกิจที่ครบวงจรทั้งโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานอะโรเมติกส์ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการเลือกผลิตผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีระหว่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี และด้วยเทคโนโลยีและการดำเนินงานตามปรัชญาของ ExxonMobil จึงส่งผลให้โรงกลั่นของบริษัทได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและมีหน่วยผลิตที่มีความพร้อมสูงสุดในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์จากขีดความสามารถระดับโลกของ ExxonMobil ในการจัดหาน้ำมันดิบและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วย ในปี 2554 ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของบริษัทประกอบด้วยน้ำมันดีเซล 34.2% น้ำมันเบนซิน 19.1% รีฟอร์เมต (Reformate) 12.6% น้ำมันเตา 9.9% น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน 8.9% และอื่น ๆ 15.3% ในส่วนของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันนั้น บริษัทเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการรายใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก ปตท. โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่จัดจำหน่ายผ่านสถานีบริการประมาณ 15%-18% ด้วยยอดขายจำนวน 2,500-3,000 ล้านลิตรต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 โรงกลั่นน้ำมันของบริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยที่ 80.0% เพิ่มขึ้นจากระดับ 69.8% ในช่วงเดียวกันของปี 2554 อัตราการใช้กำลังการผลิตปรับเพิ่มขึ้นหลังจากบริษัทหยุดโรงกลั่นเพื่อซ่อมบำรุงและต่อเชื่อมกับระบบของโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (EURO IV Project) ในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน 2554 แม้ว่ากำลังการผลิตโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทจะเพิ่มขึ้น แต่การผลิต PX ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 กลับลดลง 5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเหลือเพียง 267,000 ตัน ทั้งนี้ เนื่องจากอัตรากำไรของ PX อยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก

ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมียอดขายรวมเพิ่มขึ้น 12.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554 เป็น 184,307 ล้านบาทเนื่องจากผลของราคาน้ำมันและปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยยอดขาย 89.9% มาจากธุรกิจการกลั่นและจัดจำหน่ายน้ำมัน ส่วนอีก 10.1% มาจากธุรกิจปิโตรเคมี อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรของบริษัทลดลงในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ทั้งนี้ ค่าการกลั่นของบริษัทลดลงจาก 5.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 เหลือ 3.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลใ

และ ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ซึ่งสะท้อนถึงราคาน้ำมันที่ผันผวนเป็นอย่างมากในช่วงดังกล่าว ธุรกิจปิโตรเคมียังได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกอีกด้วย โดยผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์หลายชนิดมีราคาลดลง ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์ใช้ PX เป็นวัตถุดิบขั้นปฐมภูมิ บริษัทจึงมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 19 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 โดยส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดทุนจากสินค้าคงเหลือที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2555

ฐานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงเล็กน้อยในช่วงปี 2554-2555 โดย ณ เดือนกันยายน 2555 บริษัทมีเงินกู้รวม 33,816 ล้านบาท และมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ 58.0% ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะดีขึ้นเนื่องจากบริษัทไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่หลังจากโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง (Euro IV Project) ดำเนินการแล้วเสร็จ นอกจากนี้ บริษัทยังมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งจากการมีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจำนวน 54,000 ล้านบาทจากกลุ่มบริษัท ExxonMobil ซึ่งจะช่วยรองรับความผันผวนของราคาสินค้าทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีให้แก่บริษัทได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ