ประกอบกับ ตั้งแต่ต้นปีสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยสูงถึง 70% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณกว่า 3 หมื่นล้านบาท เทียบกับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 5 หมื่นกว่าล้านบาทถือว่าสูงมาก จากสถิติในอดีตที่ผ่านมาสัดส่วนรายย่อยโดยปกติอยู่ที่ประมาณ 50% ซึ่งเป็นสิ่งไม่ที่ควรเป็นเช่นนั้น
นายจรัมพร กล่าวว่า ตลท.ได้ส่งหนังสือถึงบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกทุกแห่งให้เตือนนักลงทุนพร้อมกับให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาให้กับนักลงทุนหากจะต้องการซื้อขายหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ cash balance
อย่างไรก็ตาม ตลท.ไม่ได้มีมาตรการพิเศษเข้ามาดูแล แต่ยังคงเข้มงวดกับการใช้กฏเกณฑ์เดิมที่มีอยู่ เพื่อเตือนนักลงทุน โดยเฉพาะ cash balance และ ขอให้บริษัทชี้แจงข้อมูลกรณีที่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ(Trading Alert List )ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะชี้แจงมาว่าไม่มีพัฒนาการใดๆ ที่ทำให้ราคาเคลื่อนไหวหวือหวา แต่ก็เป็นหน้าที่ของผู้ลงทุนที่จะต้องพิจารณาข้อมูลและดูว่าบริษัทนั้นๆ มีมูลค่าเท่ากับราคาที่ซื้อขายอยู่หรือไม่ ทั้งผลประกอบการและมูลค่าทางบัญชี(BV) ถ้าคิดว่าเสี่ยงก็ควรหลีกเลี่ยง
"ช่วงนี้ยังเข้มงวดติดตามใกล้ชิดโดยใช้เกณฑ์เดิมที่มีอยู่ คือให้ลงทุนโดยใช้เงินสดตัวเองซึ่งมองว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ยังไม่มีมาตรการพิเศษอื่นออกมา"นายจรัมพร กล่าว
สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นช่วงนี้ นายจรัมพร มองว่า ระยะสั้นไม่มีผลกระทบต่อตลาดทุน แต่ในระยะยาวอาจมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจบางกลุ่ม เช่น ส่งออก แต่ในระยะสั้นบริษัทที่จะขยายกิจการเพื่อลงทุนเพิ่มและมีการสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ ช่วงนี้ก็จะเป็นประโยชน์ เพราะได้ของถูกลง