อย่างไรก็ตาม มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังไม่ถือว่าสูงเกินไปเมื่อเทียบภูมิภาค แต่ไม่ถือว่ามีราคาถูกเหมือนปีก่อน โดยสิ้นเดือน ม.ค.56 ค่า forword PE ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 13.59 เท่า เมื่อเทียบมาเลเซียอยู่ที่ 14.5 เท่า อินโดนีเซีย 14.18 เท่า สิงคโปร์ 14.78 เท่า ฟิลิปปินส์ 17.87 เท่า ทั้งนี้เนื่องจากนโยบายรัฐบาลยังดี ควบคุมดอกเบี้ยได้ ผลประกอบการ บจ.ดี และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันดีกว่าสิงคโปร์ อยู่ที่ 55,000-56,000 ล้านบาท/วัน
"ดีใจที่หุ้นเล็กปรับขึ้น ถ้านักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในไทยก็ต้องดูที่ MSCI ที่จะจัดหุ้นนำไปคำนวณ ตอนนี้มีทั้งหุ้นใหญ่ และ ปนกัน และวอลุ่มก็มีมากขึ้น แต่กังวลว่าหุ้นพวกนี้จะปรับขึ้นอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่ ซึ่งตลาดก็ดูแลสม่ำเสมอ คอยเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังการลงทุนว่ามีพื้นฐานสมเหตุสมผลหรือไม่" นายภากร กล่าวสำหรับหลักเกณฑ์ที่ให้นักลงทุนซื้อขายเงินสด (Cash Balance) และเกณฑ์ Turn overlist ของ ก.ล.ต.เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยจะมีการประกาศเตือน หากหุ้นใดมีการซื้อขายมากผิดปกติ จะเตือนให้นักลงทุนระมัดระวัง เห็นได้ว่าที่ผ่านมา หลังใช้เกณฑ์ Cash Balance มีมูลค่าการซื้อขายลดลงในหุ้นตัวนั้นๆ แต่ ตลท.ก็ยังติดตามต่อเนื่องเพื่อพิจารณาปรับเกณฑ์ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ
"ตลาดหุ้นไทยยังไม่แพง ดัชนีขึ้นเหมือนภูมิภาค เหมือนประเทศใกล้เคียงกัน ไม่ได้โตเร็วหรือช้ากว่า ขณะที่สภาพคล่องดีขึ้น และดีมากขึ้นจากหลายปัจจัย แต่สิ่งหนึ่งคือนักลงทุนต่างประเทศทยอยเข้ามาตั้งแต่ พ.ย.ปีก่อน บวกกับนักลงทุนรายย่อยมีอิทธิพลมากขึ้นในเดือน ม.ค.และสถาบันในประเทศมีการเข้ามาลงทุนมากขึ้น" นายภากร กล่าวนายภากร กล่าวถึงการที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงดอกเบี้ยที่ 2.75% มองว่าไม่กระทบต่อตลาดทุน เพราะตลาดมีการตีความแล้วว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มีจุดยืนในการดูแลเงินเฟ้อ ส่วนกระทรวงการคลัง ดูแลการเติบโตเศรษฐกิจ ซึ่ง 2 หน่วยงานต้องหาจุดสมดุลกัน