SANKO ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 3.64 บาท สูงกว่าราคาขาย IPO 180%

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 9, 2013 12:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

หุ้น SANKO ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 3.64 บาท เพิ่มขึ้น 2.34 บาท(+180%)จากราคาขาย IPO ที่ 1.30 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 577.23 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 3.68 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 3.82 บาท และราคาลงต่ำสุด 3.56 บาท

นายรัฐวัฒน์ ศุขสายชล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซังโกะ ไดคาซติ้ง (ประเทศไทย) หรือ SANKO ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอลูมิเนียมและสังกะสีฉีดขึ้นรูปด้วยแม่พิมพ์ ฉีดหล่อความดันสูง (High-Pressure Diecasting หรือ HPDC) เปิดเผยว่า ราคาที่เสนอขายในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท มีอัตราส่วนลดให้กับนักลงทุนถึง 48.70% ส่งผลให้ในช่วงที่เปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในระหว่างวันที่ 29-30 เมษายนและ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา จำนวนหุ้นไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุน

ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อทำการซื้อและติดตั้งเตาหลอมใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงและลดค่าใช้จ่าย รวมถึงทำการทดลองติดตั้งเครื่องหล่อ โดยใช้แรงโน้มถ่วงและติดตั้งเครื่องกลึงที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อลดปริมาณการว่าจ้างบุคคลภายนอกในการตกแต่งชิ้นงาน ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น โดยปี 2555 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 15.5%

ด้านนายเอกจักร บัวหภักดี ผู้อำนวยการฝ่าย สายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SANKO กล่าวว่า ด้วยธุรกิจของบริษัทฯ ที่เกี่ยวข้องอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมีการเติบโตสูง เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ภาครัฐได้ให้ความสำคัญและได้กำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมและทำให้เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนสำหรับนักลงทุนทั่วโลก เพราะต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก โดยมีเป้าหมายระยะยาวว่า ภายในปี 2560 ยอดการผลิตรถยนต์จะเกิน 3 ล้านคัน

ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวและเงินที่ได้จากการระดมทุนกว่า 55 ล้านบาท ที่บริษัทฯจะนำไปปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและลดค่าใช้จ่าย จะทำให้ SANKO มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง

“ลูกค้าหลักของ SANKO อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ คิดเป็น 60% ของยอดขายทั้งหมด อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ 20% อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า 10% ที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลเกษตรและอื่นๆ ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2556 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% จากปี 2555 ที่บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 474.48 ล้านบาท กำไรสุทธิ 19.28 ล้านบาท" นายเอกจักร กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ