"นกแอร์"คาดขายหุ้น IPO กลางเดือนมิ.ย.56, ระดมทุน 5 พันลบ.เพิ่มฝูงบิน

ข่าวหุ้น-การเงิน Sunday May 12, 2013 10:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิทัย รัตนากร ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเปิดเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ช่วงกลางเดือน มิ.ย.56 นี้ และคาดว่าจะสามารถเปิดเทรดได้ประมาณวันที่ 20 มิ.ย.56

ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ประมาน 5 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะมีการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 187.5 ล้านหุ้น โดยได้ยื่นไฟล์ลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 6 มี.ค.56 ที่ผ่านมา

สำหรับเงินที่ได้จากการ IPO บริษัทฯจะเนินเงินดังกล่าวไปใช้เพื่อการเพิ่มฝูงบิน รวมถึงนำไปเพื่อใช้เป็นทุนในการดำงาน และเพื่อเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับกับความต้องการของผู้โดยสารที่ได้เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้หลังจากที่มีการขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ Thai Airway 49 % Aviation Investment 25% CPB Equit 6% SCB 5% Asvinvichit 5% และ นายพาที สารสิน 5% เป็น Thai Airway 39.2 % Aviation Investment 10% CPB Equit 4.8% SCB 4% Asvinvichit 4% และ นายพาที สารสิน 4% ในขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 25% ของกำไรสุทธิ อย่างไรก็ตามก็ต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบการปลายปี

บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ที่ทำได้ 8,217.6 ล้านบาท ในขณะเดียวกันจะมีกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากที่ก่อนหน้านี้ที่ทำได้ 504.7 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้บริษัทฯ จะทำการคืนเครื่องบินรุ่น B737-400 ให้แก่การบินไทยทั้งหมด ซึ่งได้มีการนำเครื่องบินรุ่นใหม่กว่าคือรุ่น B737-800 ที่จะสามารถช่วยลดต้นทุนในด้านน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 13% รวมถึงจะสามารถค่าบำรุงรักษาลงด้วย และจากที่จะมีการเพิ่มฝูงบินจาก ณ สิ้นปี 55 ที่มีเครื่องบิน ATR อยู่ 4 ลำ และรุ่น B737-800 อยู่ 10 ลำและในปี 56 ฝูงบินจะเปลี่ยนเป็น ATR 2 ลำ และ ATR 2 ลำ และยังมีแผนการเพิ่มฝูงบินอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆไป ในขณะเดียวกันในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาบริษัทฯ จะเห็นได้ว่ากำไรเริ่มมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพียงแค่ไตรมาสแรกกำไรสุทธิก็เติบโตเกือบเทียบเท่าปีก่อนทั้งปีแล้ว โดยไตรมาส 1 ที่ผ่านมาสามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 425.3 ล้านบาท

“จากการที่เราได้มีการขยายเส้นทางบิน การปรับเปลี่ยนฝูงบินให้มีความทันสมัยมากขึ้น และกลยุทธ์ในด้านการจัดการเส้นทางการบินจะทำให้ปีนี้กำไรจะเติบโตก้าวกระโดอย่างรุนแรง อย่างมีนัยสำคัญ" นายวิทัยกล่าว

ในขณะเดียวกันจากที่ในปัจจุบันค่าเงินบาทไทยเข็งค่า จึงทำให้ได้ประโยชน์จากส่วนนี้ด้วย ซึ่งเรามีค่าใช้จ่ายที่เป็นสกุลเงิน ดอลลาร์สหรัฐ ถึง 60% ทำให้บริษัทฯได้ผลประโยชน์ในส่วนนี้ด้วย

นายวิทัย กล่าวต่อว่า จากที่ประเทศเราจะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทำให้ทางบริษัทฯมองว่าจะส่งผลดีต่อสายการบิน Low Cost ที่จะสามารถเป็นศูนย์กลางทางการบินได้ โดยมองว่าเครื่องบินที่มีขนาดเล็กนั้นจะสามารถบินระยะทางที่ใช้เวลาประมาน 4-4.30 ชั่วโมง โดยการบินในระยะทางประมานนี้จะมีประเทศไทยที่สามารถเป็นศูนย์กลางบินไปถึง จีน เกือบทั้งประเทศ และเกาหลี่ใต้ เป็นต้น ซึ่งมีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่จะสามารถบินถึงเกือบทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียได้ จะทำให้สายการบินนกแอร์ได้เปรียบมากในด้านนี้ เพราะมีการจัดสรรเส้นทางการบินที่ดี และเป็นเครื่องบินขนาดเล็กสามารถลงในสนามบินที่มีขนาดเล็กได้ ต่างจากสายการบินอื่นๆที่ใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ในการบ้าน ทำให้สายการบินนกแอร์สามารถบินไปในเส้นทางที่แตกต่างจากสายการบินอื่นได้

ด้านนาย ปิยะ ยอดมณี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯจะมีการขยายเส้นทางการบินเพิ่มขึ้น โดยในเดือน ก.ย. จะเปิดเส้นทางการบินจาก แม่สอด-เมาะละแหม่ง และ แม่สอด-ย่างกุ้ง และในเดือน พ.ย. จะเป็น กรุงเทพ-ย่างกุ้ง ทั้งนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะเปิดเส้นทางการบินจาก จังหวัดเชียงใหม่ ไปยัง ปะกัน มันดาเลย์ และเฮโฮ ซึ่งอยู่ในประเทศพม่า ซึ่งยังไม่มีเวลากำหนดวาจะเปิดเมื่อไหร่

“การขยายวไปต่างประเทศนั้นเราจะขยายอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะไม่รีบขยายเหมือนสายการบินอื่นๆ เพราะก่อนหน้านี้เราก็เคยทำมาแล้ว เราจะไปอย่างระมัดระวัง รวมถึงเรายังมีเครื่องบินไม่พอกับการขยายตัว เราถึงได้มีการขยายไปต่างประเทศเร็วมากนัก" นายปิยะกล่าว

นายปิยะ กล่าวว่า ณ วันที่ 31 มี.ค. 56 สายการบินนกแอร์เป็นสายการบินที่มีเส้นทางบินมากที่สุดถึง 23 เส้นทางบินใน 21 จังหวัด และมีเที่ยวบินภายในประเทศจำนวนสูงที่สุดคือ 483 เที่ยวบิน/สัปดาห์ โดยมีเส้นทางหลักเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทำให้บริษัทฯมี ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นทุกๆปี โดยปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 23.7 % และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ