กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน , สาขามาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 5% เงินฝากธนาคารออมสิน(ไทย) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย(CIMBT) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Banco Itau Unibanco S.A (บราซิล) สัดส่วนการลงทุน 10% ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดยธนาคารธนชาต สัดส่วนการลงทุน 20% ตั๋วแลกเงินออกโดย บมจ.อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส สัดส่วนการลงทุน 20% และตราสารหนี้ภาครัฐไทย สัดส่วนการลงทุน 5%
นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 2.70% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป
นายฉัตรรพี กล่าวว่า บริษัทมองว่ามีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในวันที่ 29 พ.ค. เนื่องจากตัวเลขจีดีพีของไทยที่ประกาศออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ไว้ อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ รวมถึงการที่ธนาคารกลางของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียได้ทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา อาทิ เวียดนาม อินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย อาจเป็นแรงกดดันที่มีต่อธนาคารแห่งประเทศไทยในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ทั้งนี้ ในส่วนของจีดีพีในไตรมาสแรกของไทยโตร้อยละ 5.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นการเติบโตน้อยกว่าที่คาด และชะลอลงจากโตร้อยละ 19 ในไตรมาส 4/55 โดยสาเหตุของการชะลอตัวมาจากการลงทุนและการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และสภาพัฒน์ได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงสู่ร้อยละ 4.2 — 5.2 จากคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 4.5-5.5 โดยคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 7.6 จากคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 11 ทางด้านตัวเลขยอดส่งออกเดือนเมษายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5 จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากยอดส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวดีขึ้น และยอดส่งออกที่แข็งแกร่งของรถยนต์และภาคก่อสร้าง
ส่วนยอดนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังจากที่ปรับตัวลดลงในเดือนมีนาคม โดยยอดนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมาจากการขยายตัวของสินค้าเพื่อการบริโภคและวัตถุดิบที่แข็งแกร่ง สอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคที่แข็งแกร่งเช่นกัน สำหรับเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยมีความชันมากขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้นลดลงร้อยละ 0.01-0.2 ในขณะที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.01-0.3
“กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M60 (KFFIX6M60) เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และต้องการล็อคผลตอบแทนในช่วงที่อัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้เริ่มมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง โดยสามารถลงทุนได้เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน"นายฉัตรพี กล่าว