หุ้น KTB ราคาอยู่ที่ 18.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท(+1.07%)มูลค่าซื้อขาย 152.46 ล้านบาท
หุ้น SCB ราคาอยู่ที่ 160.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท(+1.90%)มูลค่าซื้อขาย 121.05 ล้านบาท
บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ“ลงทุนมากกว่าปกติ"สำหรับกลุ่มธนาคาร เนื่องจากยังมองว่าสินเชื่อของกลุ่มธนาคารจะเติบโตต่อเนื่องได้ จากการได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่จากทั้งภาคเอกชนและรัฐบาล โดยเลือก BBL (FV’56 = 259 บาท) และ KTB(FV’56 = 32 บาท) เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่ม
กลุ่มธนาคาร มีการรายงานแบบแสดงสินทรัพย์และหนี้สินเดือน พ.ค. ครบทุกธนาคารแล้ว โดยทางด้านสินเชื่อเพิ่มขึ้น 0.8%m-m และ3.3%ytd ส่วนทางด้านเงินฝากก็เพิ่มขึ้นด้วย 1.1%m-m และ 3.5%ytd
ทั้งนี้ การเติบโตของสินเชื่อในเดือน พ.ค. มีการเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน โดย 10 ธนาคารที่ทำการศึกษามีเพียง BAY ธนาคารเดียวที่มีสินเชื่อหดตัวลง และเริ่มเห็นการเร่งตัวขึ้นของสินเชื่อของธนาคารที่มีสินเชื่อชะลอตัวลงในช่วงก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น BBL ที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้น 0.9% m-m และ KBANK ที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้น 1.3% m-m ในเดือนนี้ TISCO ยังคงเป็นธนาคารที่มีสินเชื่อขยายตัวมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.9% m-m และเป็นการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน
เงินฝากในเดือน พ.ค. มีการเติบโตมากกว่าสินเชื่อ โดยเพิ่มขึ้น 1.1% m-m และทำให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของกลุ่มธนาคารลดต่ำลงเป็น 95.7% จาก 96% ในเดือนก่อน
ใน 2Q56 คาดว่าผลประกอบการของกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มเติบโตทั้ง y-y และ q-q เนื่องจากรายได้พิเศษของ TCAP และ KK โดย TCAP จะมีการบันทึกรายได้จากการขายธุรกิจประกันและ KK ที่จะมีการบันทึกรายได้ค่าธรรมเนียมการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้รับประกันการจัดจำหน่ายกองทุน BTSGIF นอกจากนี้ยังคาดว่าค่าใช้จ่ายที่จะลดลงมากของ KTB หลังจากไตรมาสก่อนมีการจ่ายโบนัสพิเศษให้กับพนักงานจะทำให้ผลประกอบการของ KTB เพิ่มขึ้นด้วย