บลจ.ยูโอบี ตั้งเป้า AUM โต 30% พร้อมติด 1 ใน 5 หลังควบรวม บลจ.ไอเอ็นจี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 3, 2013 13:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวนา พูนผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ากองทุนรวมด้วยสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM)เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 30% ภายใน 3 ปีข้างหน้า หลังจากที่มีการควบรวมกิจการกับ บลจ.ไอเอ็นจี(ประเทศไทย) ทำให้มีพอร์ต AUM ประมาณ 2.3 แสนล้านบาท ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายจะเป็นบริษัทจัดการกองทุนติดอันดับ 1 ใน 5 ของอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ หลังจากมีการควบรวมกิจการส่งผลให้ฐานลูกค้า ช่องทางการตลาด รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและครบถ้วนมากขึ้น โดยบริษัทมีบุคลากรในการบริหารจัดการกองทุนเพิ่มขึ้น หลังควบรวมแล้วผู้จัดการกองทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 28 คน ซึ่งบริษัทจะมีการขยายตลาดทุกด้าน เชื่อว่าการขยายลูกค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายมีโอกาสมากขึ้น รวมถึงระดับตัวแทนขายบุคคล ที่สามารถเพิ่มขนาดได้ทันที

บริษัทยังมีเป้าหมายขยายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มมากขึ้น โดยจะเน้นกองทุนของภาคเอกชน เพราะมองว่ากองทุนภาคเอกชนมีตลาดใหญ่มาก ขณะเดียวกัน บริษัทจะมีการเพิ่มกองทุนที่เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ไทยที่เสนอขายในต่างประเทศ หรือตราสารหนี้ต่างประเทศที่เข้ามาจัดจำหน่ายให้กับนักลงทุนในประเทศ ซึ่งภายหลังควบรวมแล้วจะมีสาขาที่สรรหาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในแต่ละประเทศ เช่น ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และบรูไน เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำในภูมิภาค

นางสุนรี พิบูลย์ศักดิ์กุล กรรมการผู้จัดการ สายปฏิบัติการ กล่าวว่า หลังการควบรวมจะทำให้ระบบปฏิบัติการของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งด้านเทคโนโลยี ระบบบริหารการลงทุน ระบบงานทะเบียน รวมถึงระบบบริหารความเสี่ยง และการวัดผลตอบแนของกองทุนที่เป็นมาตรฐานระดับสากลมากขึ้น ซึ่งมีการพันาระบบดังกล่าวเพื่อสนับสนุนงานด้านการลงทุนและโอกาสทางธุรกิจที่จะขยายเพิ่มขึ้นในอนาคต

ด้านนายกรวุฒิ ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)ในปี 56 ที่ 1,650 จุด ถึงแม้ว่าช่วงก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวน และเป็นการปรับตัวลงในช่วง 6 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่จะมีการปรับลดหรือหยุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE)ในช่วงปลายปีนี้ รวมถึงความตึงตัวของสภาพคล่องในประเทศจีน

อย่างไรก็ตาม มองว่าเป็นเพียงความตระหนกหรือตกใจมากเกินไปของนักลงทุนเอง ซึ่งในความเป็นจริงพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยยังมีพื้นฐานที่ดี แม้ว่าอาจจะมีการปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยลง แต่บริษัทจดทะเบียนฯ ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นฐานได้

ส่วนทิศทางราคาทองคำ ราคาได้ปรับตัวขึ้นมามากในช่าวง 2 ปีที่ผ่านมา จากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรป แต่ตั้งแต่ต้นปีนี้นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ เห็นได้จากแนวโน้มการผ่อนคลายมาตรการ QE ส่งผลให้นักลงทุนกลับมาถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น จึงเป็นแรงกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ในระยะสั้นจะมีแรงซื้อเข้ามา แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นได้

หากนักลงทุนต้องการลงทุนในระยะยาว ราคาทองคำในขณะนี้สามารถลงทุนได้บางส่วนของพอร์ตการลงทุน เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงต่อสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาทองคำคงไม่ได้ปรับขึ้นไปอย่างหวือหวาเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ดังนั้น ผลตอบแทนในตลาดหุ้นก็ยังน่าสนใจกว่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ