โบรกฯหนุน"ซื้อ"DELTA คาดปี 56 กำไรทำสถิติสูงสุด H2/56 โตเด่นกว่า H1/56

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 4, 2013 10:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์พร้อมใจแนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)(DELTA)มองแนวโน้มผลกำไรสุทธิในปี 56 เติบโตได้ดีและคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เป็นผลมาจากธุรกิจ Power Supply ในอุตสาหกรรม Data Center ที่ขยายตัวได้ดีตามความต้องการตลาด

และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นแนวโน้มกำไรดีกว่าครึ่งปีแรกเนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น และมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งงานด้านบริหารและตัดงบ R&D มีส่วนผลักดันกำไรดีขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ฯ ส่วนใหญ่ก็มองว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/56 จะเติบโตลดลง เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น และระยะเวลาการทำงานน้อยลง ก่อนจะกลับมาแข็งแกร่งในไตรมาส 2/56

          โบรกเกอร์                        คำแนะนำ         ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.เอเซีย พลัส                     ซื้อ                  47.00
          บล.ฟิลลิป                          ซื้อ                  46.00
          บล.บัวหลวง                        ซื้อ                  44.00
          บล.กรุงศรี                         ซื้อ                  43.00
          บล.เกียรตินาคิน                     ซื้อ                  41.00
          บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส                 ซื้อ                  42.00

นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส มองว่า หุ้น DELTA ในช่วงที่เหลือของปี 56 ภาพรวมธุรกิจยังคงเดินหน้าเติบโตต่อเนื่องจากธุรกิจ Power Supply ในอุตสาหกรรม Data Center ยังแข็งแกร่งต่อเนื่องตามภาพรวมอุตสาหกรรมที่สดใส ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่เหนือกว่าคู่แข่ง จึงสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดได้มากขึ้น, ธุรกิจ Power Supply ในประเทศอินเดีย คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ภายหลังจากที่มี Platform ใหม่ในระบบ 4G/LTE เกิดขึ้นในปี 56 และธุรกิจ Telecom Power Solution ที่แข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะในตลาด EMEA และบราซิล

ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่ากำไรสุทธิทั้งปี 56 จะเท่ากับ 4.8 พันล้านบาท ซึ่งทำ New High ต่อเนื่องเป็นปีที่สองติดต่อกันจากปีก่อนที่เติบโตถึง 11% ซึ่งเป็นการทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของ DELTA

ไตรมาส 2/56 คาดว่ากำไรสุทธิของ DELTA ยังทรงตัวระดับสูงที่ 1.2 พันล้านบาท ต่อเนื่องจากไตรมาสแรก เนื่องจากยังคงมียอดขายรวมที่แข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจ Power Supply ในอุตสาหกรรม Data Center และกลุ่มธุรกิจ Trading ในอินเดีย และค่าใช้จ่าย SG&A ที่ทรงตัวต่ำต่อเนื่อง เป็นผลจากการที่บริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กรและการทำงานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน ขณะที่ภาพรวมในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตโดดเด่นตามช่วงฤดูกาล High Season ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป

นางสาวมินทรา รัตยาภาส นักวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ยอดขายในไตรมาสแรกเติบโตเกินคาดหมาย แต่คาดว่ายอดขายในไตรมาส 2/56 จะอ่อนตัวลงตามฤดูกาลปกติ และจำนวนวันผลิตที่น้อยกว่าปกติในช่วงวันหยุดสงกรานต์

ขณะที่บริษัทคงเป้าหมายยอดขายปีนี้ทรงตัวหรือเติบโตเล็กน้อย 5% โดยสินค้ากลุ่ม Data Center ยังเป็นสินค้าหลักผลักดันการเติบโต คาดว่าสินค้ากลุ่มนี้จะเริ่มรับรู้ยอดขายสินค้าโมเดลใหม่ในไตรมาส 2/56 และเห็นผลชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง เช่นเดียวกับสินค้ากลุ่ม Auto และ Solar ที่มีแนวโน้มยอดขายดีขึ้นตามฤดูกาลในช่วงครึ่งปีหลัง อีกทั้งมองว่ากำไรสุทธิครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกตามทิศทางยอดขายและอัตรากำไร

ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 56 และ 57 จากเดิม 17% และ 11% ตามลำดับ สะท้อนผลบวกจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นเป็น 26.5% ในปีนี้ และ 26.8% ในปี 57 ประกอบกับการตัดลดค่าใช้จ่าย R&D ทำให้ค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายปี 56-57 ลดลงเป็น 15.5% และ 15.3% ตามลำดับ ชดเชยผลกระทบค่าของเงินบาท โดยปีนี้คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 4,279 ล้านบาท ส่วนปี 2557 คาดกำไรสุทธิที่ 4,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%

"เราคาดว่ากำไรจะอยู่ที่ 4,279 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งมีผลมาจากนโยบายของเขาพยายามรักษาระดับให้ SG&A นี้ไม่เพิ่มขึ้นมาก และลดตัว R&D ลง พยายามโฟกัสตัวธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น ทำให้สามารถประหยัดค่า R&D ในระยะยาวได้ ส่วนยอดขายก็ยังทรงตัวหรือเติบโตเล็กน้อย 5% ทำให้สามารถรับรู้ถึงอัตรากำไรขั้นต้นได้ ซึ่งจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทั้งนี้คาดว่ารายได้จะอยู่ประมาณ 3.9 หมื่นล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นประมาณ 7% จากปีนี้เงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 28.90 บาท/ดอลลาร์ ปีก่อนอยู่ที่ระดับ 31.20 บาท/ดอลลาร์"น.ส.มินทรา กล่าว

นางสาวจินดารัตน์ เล้าทวีรุ่งสวัสดิ์ นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง คาดว่ากำไรในไตรมาส 2/56 ของ DELTA จะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเดือนก่อน ส่วนรายได้มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับเดือนก่อนในไตรมาส 2 จากยอดคำสั่งซื้อที่ชะลอตัวลง ก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปลายไตรมาส 2/56 นี้

แต่ในแง่ของกำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขาดทุนลดลงจากสายการผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับระบบพลังงานแสงอาทิตย์และกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจซื้อขายในอินเดีย

นอกจากนี้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากโปรแกรมลดต้นทุน DELTA ตั้งเป้าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายในระยะยาว 15% ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 16.2%

ด้านนายวัชรุตม์ วัชรวงศ์สิทธิ์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า จากทิศทางขาขึ้นของผลประกอบการ การดำเนินงานที่โดดเด่นในไตรมาสแรกและจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ ยอดขายผลิตภัณฑ์เพาเวอร์ซัพพลายสำหรับ Data Center และเพาเวอร์ซัพพลายสำหรับ Telecom และ Automotive ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จะสนับสนุนการเติบโตต่อเนื่องของผลประกอบการหลังปี 56

ทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 2/56 ผลการดำเนินงานของ DELTA จะเติบโตลดลง จากฐานกำไรที่สูงในไตรมาสแรก แต่จะกลับมาเติบโตโดดเด่นอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่ออุปกรณ์ Data Center ออก Platform ใหม่ช่วงกลางปี 56 ทำให้บริษัทฯ เริ่มขายเพาเวอร์ซัพพลายกลุ่มนี้ได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระตุ้นยอดขายและรักษาอัตรากำไรขั้นต้น แม้ผลิตภัณฑ์ Solar Inverter ซึ่งให้อัตรากำไรสูงเริ่มประสบปัญหาการแข่งขันด้านราคาในกลุ่มลูกค้าใหม่ที่บริษัทเข้าไปทำตลาดได้สักระยะ

ขณะเดียวกัน ความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายการขายและการวิจัย พัฒนาได้ดีอย่างต่อเนื่อง หลังปรับปรุงโครงสร้างองค์กร จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันกำไรต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าลด SG&A/sales จาก 17% ในปี 55 เป็น 15% ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

"เรามองว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1 ที่ออกมาเติบโตโดดเด่นดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก และในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 จะมีการนำอุปกรณ์พวก Data Center ที่ออกมาใหม่ออกมาขาย ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายการขาย และการวิจัย พัฒนาต่างๆ ก็จะมีส่วนช่วยให้ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นด้วย"นายวัชรุฒน์ กล่าว

นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า ผลการดำเนินงานปี 56 ยังคงประมาณการยอดขาย 1,377 ล้านเหรียญเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ได้มีการปรับ Margin ขึ้นจากเดิมที่มีแนวโน้มดีกว่าที่เคยคาดไว้ และได้ปรับลดสัดส่วนค่าใช้จ่ายลงจากเดิม จากแผนการลดค่าใช้จ่ายด้านวิจัย พัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงปรับประมาณการกำไรสุทธิเป็น 4,424 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 2% หากค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่ 29 บาท/ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม แม้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 จะเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากวันหยุดมากในช่วงสงกรานต์ แต่การเพิ่มขึ้นของสินค้าที่ผลักดันยอดขายในไตรมาสแรก ส่งผลให้จะยังคงเติบโตต่อเนื่องทั้งกลุ่ม Data Center และกลุ่ม TPS ขณะที่การเปลี่ยนโมเดลใหม่จะส่งผลต่อยอดขายในครึ่งปีหลัง

"มองว่ายังเป็น 1 ใน top pick ในกลุ่มชิ้นส่วนฯที่เรายังชอบจากการเน้นจำหน่ายสินค้า margin สูง ทำให้แนวโน้มการดำเนินงานยังดีขึ้นหากเทียบกับผู้ประกอบการในกลุ่มเดียวกัน ทางฝ่ายจึงยังคงแนะนำ ซื้อ โดยปรับราคาพื้นฐานเพิ่มเป็น 46 บาท/หุ้น"นักวิเคราะห์ กล่าว

นักวิเคราะห์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า แม้กำไรในไตรมาส 2/56 จะเติบโตลดลง ตามคำสั่งซื้อสินค้า power supplies จาก networking และ data center ที่มีการเปลี่ยน model ใหม่ แต่ยังมองว่าไตรมาส 3 จะกลับมาแข็งแกร่ง และส่งผลให้การดำเนินงานปีนี้กลับมาฟื้นตัวดีอีกครั้ง โดยสินค้าที่เป็นกุญแจสำคัญคือ data center และ storage


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ