(เพิ่มเติม1) MTI ตั้งเป้า H2/56 เบี้ยประกันรับตรง 4.7 พันลบ.แบ่งเป็นรถยนต์ 45% ทั่วไป 55%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 13, 2013 16:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันภัย(MTI) คาดว่า ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันรับตรงที่ 4,700 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นประกันภัยรถยนต์ 45% และประกันภัยทัวไป 55%

อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 56 บริษัทฯตั้งเป้าจะมีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัย 8.6 พันล้านบาท แต่อาจจะสูงกว่าเป้าหมายขึ้นไปที่ 9 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯมีการขยายช่องทางการจำหน่ายในทุกๆช่องทาง รวมถึงปัจจุบันประชาชนเริ่มมีความตระหนักถึงการป้องกันความเสี่ยงโดยการซื้อประกันมากขึ้น ทำให้มีการเติบโตธุรกิจประกันมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องประกอบกับจะมีการเปิดช่องทางรับประกันภัยในตลาดรถบรรทุก เนื่องจากแนวโน้มมีความเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าหลังจากมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะมีการเติบโตเกี่ยวกับธุรกิจขนส่งมากขึ้น จึงมองโอกาสในตลาดนี้ยังมีการเติบโตอีกมากในอนาคต

สำหรับภาพรวมรวมธุรกิจประกันภัยในช่วงครึ่งปีหลังเขื่อว่าจะมีการเติบโตได้ดีต่อเนื่อง หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกมีการเติบโตสูงในแง่ของเบี้ยประกันอยู่ที่ 25 % จากการส่งมอบรถยนต์ตามนโยบายรถยนต์คันแรก โดยในช่วงที่เหลือของปี 56 ส่วนของเบี้ยประกันรวมทั้งระบบน่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15-20% จากปีก่อนที่มีเบี้ยประกันทั้งตลาดอยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท

แนวโน้มเบี้ยประกันภัยรถยนต์ หลังจากมีอัตราการเรียกคืนสินไหมจากผู้ซื้อประกันภัยรถยนต์ที่สูงขึ้น เนื่องมาจากกลุ่มผู้ใช้รถยนต์คันแรกที่มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูงนั้น กรรมการผู้จัดการ MTI ยอมรับว่า ธุรกิจประกันภัยรถยนต์ไม่สามารถแข่งขันด้วยเบี้ยประกันราคาถูกได้อีกต่อไป เนื่องจากที่ผ่านมามีอัตรา loss ratio ในกลุ่มรถคันแรกค่อนข้างสูง ดังนั้นการปรับเบี้ยประกันภัยรถยนต์จะต้องพิจารณาจากสถิติอย่างรอบคอบ เพื่อสร้างผลกำไรที่มั่นคง

อนึ่ง ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของ MTI มีกำไรสุทธิ 452 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่ขาดทุนสุทธิ 630 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 177.7 % เป็นผลมาจากยอดขายประกันภัยและรายได้จากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น และการเรียกคืนสินไหมจากเหตุการณ์อุทกภัยในปีก่อนปรับลดลง รวมถึงการปรับโครงการการประกันภัยต่อและการบริหารจัดการองค์กรให้มีต้นทุนที่ลดลง

ด้านพอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ ปัจจุบันมีสัดส่วนที่ลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 25% ซึ่งบริษัทจะยังคงเป้าหมายเดิมไว้ เนื่องจากปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีความอ่อนไหวต่อสถานการต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศ จะทำให้การลงทุนนั้นมีความเสี่ยง ซึ่งทางบริษัทเน้นการลงทุนที่มีความเสี่ยงไม่มาก และผลตอบแทนที่มีความมั่นคงเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทคาดว่าหากมีกำไรออกมาตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ อาจจะมีการจ่ายปันผลได้ แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบการที่ออกมา

"เราอาจจะมีการจ่ายปันผลได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับผลกำไรในช่วงครึ่งปีหลังด้วยว่าผลกำไรจะออกมาตามที่เราคาดหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นไปตามเป้าหมายก็จะมีการเสนอเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซุ่งโดยปกติแล้วบริษัทเราก็จ่ายปันผลอยู่แล้วถ้าผลประกอบการมีกำไร" นางนวลพรรณ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ