สำหรับยอดขายรวมไตรมาส 2/56 อยู่ที่ 2,602,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 165,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.86% ส่วนงวด 6 เดือน ยอดขายรวมอยู่ที่ 5,266,613 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.06% กำไรสุทธิ 409,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.74% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 18.28% จาก 16.86% ในปีที่แล้ว ส่วนอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 7.78% จาก 6.81% ด้านอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.27 เท่า
“แม้ว่ายอดขายไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรกปีนี้จะเติบโตไม่มากจากปีก่อน แต่ความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่การทำกำไรขั้นต้นจนถึงกำไรสุทธิ ทำให้กำไรโดยรวมเติบโตสูง โดยเฉพาะการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ของ บจ.ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงาน เหมืองแร่ ปิโตรเคมีและเหล็กมีผลขาดทุนจากการตีราคาสินค้าคงเหลือให้เป็นไปตามราคาตลาดและผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันลดลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะเดียวกันการมีรายได้ที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน เช่น กำไรจากการขายสินทรัพย์และจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ เงินชดเชยค่าสินไหมน้ำท่วม ยังช่วยลดผลกระทบการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นสูงและทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย " นายชนิตร กล่าว
บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท.(PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) และ ธนาคารกรุงเทพ(BBL)
กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกจาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ทรัพยากร และอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
สำหรับหมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรก จาก 27 หมวดธุรกิจ ได้แก่ ธนาคาร พลังงานและสาธารณูปโภค และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยทั้ง 3 หมวดมีกำไรสุทธิรวม 236,884 ล้านบาท คิดเป็น 57.82% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด และยอดขายรวมของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 54.84% ของยอดขายรวมทั้งหมด