บลจ.ธนชาต ออกกองทุนรวมผสม ตั้งเป้าผลตอบแทน 8% ใน 1 ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 5, 2013 12:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บลจ.ธนชาต เสนอขายกองทุนเปิดธนชาตชาเลนจ์ 15 (T-Challenge15) เป็นกองทุนรวมผสม อายุกองทุนประมาณ 1 ปี หรือต่ำกว่า 1 ปี โดยตั้งเป้าผลตอบแทน 8% ภายใน 1 ปี หากกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10.91 บาท ณ วันทำการใด กองทุนจะเลิกกองทุน ในระหว่างอายุกองทุน บลจ. อาจจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ หากจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 0.40 บาท/หน่วย หรือ 4% ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เสนอขายครั้งแรก ซึ่งจะเสนอขายครั้งเดียว (IPO) ตั้งแต่วันนี้ถึง 10 กันยายน 2556 ลงทุนขั้นต่ำง 1,000 บาท

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนของ กองทุนเปิดธนชาตชาเลนจ์ 15 (T-Challenge15) ในส่วนของตราสารทุน ผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาลงทุนในตราสารทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีประวัติหรือประเมินว่ามีโอกาสที่จะมีอัตราการเจริญเติบโตของกำไร 10 % ต่อปีขึ้นไป หรือมีกระแสเงินสดพอพียง หรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ บลจ.ธนชาต คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 15% ในปี 56 และเติบโต 11% ในปี 57 โดยหุ้นกลุ่มเป้าหมาย คือ หุ้นที่ราคามีโอกาสจะปรับตัวขึ้นดีกว่าตลาดโดยรวม รวมทั้งการหาจังหวะในการเข้าลงทุน การปรับพอร์ตตามสภาพตลาด และการเลือกหุ้นจะเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย

ในช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณลด QE ตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่ รวมทั้งไทยด้วยได้รับผลกระทบจากการไหลออกของเงินลงทุน ทำให้ระดับราคาของตลาดหุ้นไทยปรับตัวต่ำลง ธนชาตเห็นว่าถึงช่วงที่น่าจะเป็นโอกาสในการลงทุน อยู่ในจุดที่สมเหตุสมผล มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เพราะภาคธุรกิจอุตสาหกรรมไม่ได้มีปัจจัยพื้นฐานอะไรเปลี่ยนแปลง ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่ผลประกอบการดี เติบโตน่าลงทุน แม้ตลาดหุ้นไทยช่วงต่อไปจะยังคงมีการปรับตัวขึ้นๆ ลงๆ ก็ยังมีโอกาสให้ทำกำไรได้

“ปัจจัยด้านเศรษฐกิจในต่างประเทศก็นิ่งขึ้น และมีแนวโน้มบวกสำหรับช่วงของการฟื้นตัว โดยเฉพาะภาพการฟื้นตัวของสหรัฐฯ ที่เริ่มชัดเจนขึ้น ส่วนประเทศจีน ความกังวลหลักของตลาดในช่วงที่ผ่านมา มาถึงวันนี้ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะค่อยๆ ชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ Hard landing เศรษฐกิจของ 2 ประเทศมหาอำนาจนี้ มีน้ำหนักอย่างมากต่อตลาดหุ้นในเอเชีย รวมถึงไทยด้วย ซึ่งปัจจัยบวกจากทั้ง 2 ประเทศ ระยะยาวจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยและธุรกิจอุตสาหกรรมไทยด้วย แม้จะไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่การลงทุนในหุ้น ต้องลงทุนรอรับข่าวล่วงหน้า"นายบุญชัย กล่าว

ประกอบกับ การมองสัญญาณลด QE ว่า มาตรการ QE ยังคงดำเนินต่อไปเพียงแต่ลดขนาดลง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสภาพคล่องจะหดหายไปในระยะเวลาอันสั้น ส่วนยุโรปก็น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และในมุมมองของนักลงทุนต่างประเทศในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging market หลายฝ่ายก็ยังมองว่าประเทศในเอเชียถึงแม้จะมีการเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่ก็ยังเติบโตสูงกว่าอีกหลายภูมิภาค ตลาดหุ้นเอเชียจึงยังมีความน่าลงทุนมากกว่า Emerging market ส่วนอื่นๆ โดยปัจจัยที่สำคัญ คือต้องเลือกประเทศที่แข็งแรง เมื่อถึงจุดหนึ่งเงินลงทุนจากต่างประเทศจะทยอยกลับมา โดยคาดว่าอาจจะเริ่มเห็นในไตรมาส 4 ต่อไตรมาส 1 ปีหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ