KLAND ยื่นไฟลิ่งแล้ว เตรียมแต่งตัวเข้าตลาดหุ้นปี 57 ระดมทุนขยายโครงการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 3, 2013 15:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชวินธร คุณากรปรมัตถ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.กรุงเทพบ้านและที่ดิน (KLAND) เปิดเผยว่า บริษัทเพิ่งยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 12 ก.ย.56 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 620 ล้านหุ้นได้ภายในปี 57

บริษัทมีวัตถุประสงค์ของการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท การชำเงินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินบางส่วน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วจำนวน 1,780 ล้านบาท และหลังจากการจำหน่ายหุ้น IPO บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 2,400 ล้านบาท

"เรื่องช่วงเวลาที่จะขายหุ้น IPO ตอนนี้เรายังคาดการณ์อะไรไม่ได้ เพราะเราเพิ่งยื่นไฟลิ่งไปเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา เราก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าไหร่กว่าไฟลิ่งจะอนุมัติ ถ้าอนุมัติได้เร็วเราก็อาจจะขายในปลายปีนี้ก็ได้แต่คงไม่เกินปี 57 แน่นอน แต่ต้องขึ้นกับสภาวะของตลาดขณะนั้นและความพร้อมของเรา ถ้าพร้อมก็ทำได้เลย ช่วงเวลาเราก็ยังไม่แน่ใจ"นายชวินธร กล่าว

นายชวินธร กล่าวว่ บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ระหว่างหาซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปี 58-59 ขณะที่มีเป้าหมายรักษาอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) ให้อยู่ที่ประมาณ 1 เท่า จึงจะมีการนำเงินไปชำระหนี้บางส่วน

สำหรับการที่ F&N เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งนั้น มองว่าทาง F&N คงเห็นว่าเป็นบริษัทที่ดี มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้เข้ามาร่วมหุ้นกันก่อนหน้านี้ในโครงการคอนโด The PANO จากนั้นจึงเข้ามาถือหุ้นในบริษัท ซึ่งทาง F&N ส่งตัวแทนเข้ามาเป็นกรรมการ 3 คน และมีนโยบายที่ต้องการให้บริษัทเติบโตไปเรื่อยๆ

ด้านผลประกอบการในปี 56 คาดว่ากำไรสุทธิจะทำสติสูงสุด จากปี 55 ที่มีกำไร 130 ล้านบาท โดยครึ่งแรกของปี 56 บริษัทมีกำไรสุทธิแล้ว 259 ล้านบาท และแนวโน้มของรายได้ในปีนี้จะมากกว่าปี 55 อย่างแน่นอน หลังจากครึ่งปีแรกทำรายได้แล้ว 1,861 ล้านบาท มากกว่ารายได้ทั้งปีของปี 55 อยู่ที่ 1,176 ล้านบาท เป็นการเติบโตตามกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นขายโครงการระดับไฮเอนด์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี และเน้นความต้องการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง

"เราเน้นจับกลุ่มตลาดที่มีกำลังซื้อมากกว่า และในปีนี้เป็นปีที่เรามีการเติบโตอย่างมากคาดว่ากำไรในปีนี้ทำสถิติสูงสุดจากปีก่อนและรายได้ก็เติบโตมากกว่าปีก่อนกว่า ซึ่งรายได้ในครึ่งปีแรกเราโตกว่าปีก่อนกว่า 100% และอัตรากำไรสุทธิครึ่งปีแรกเป็นกว่า 10% จากปีก่อนอยู่ที่เพียงหลักเดียว ส่วนอัตรากำไรชั้นต้นเราก็รักษาระดับไว้ประมาณ 30% กว่า"นายชวินธร กล่าว

นอกจากนี้ โครงการของบริษัทจะเน้นการสร้างเสร็จก่อนขาย ทำให้สามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันที ซึ่งในปีนี้แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่กำลังซื้อของลูกค้าในตลาดระดับไฮเอนด์ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้และกำไรสุทธิในปีนี้ของบริษัทมีการเติบโตอย่างมาก

"ช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวก็ยังไม่ส่งผลต่อกำลังซื้อของลูกค้าระดับไฮเอนด์ ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นโยบายเราเน้นขายสินค้าที่มี Real Demand จริงๆ เราไม่มี Pre-sale ในใบจอง บ้านในโครงการเราสร้างเสร็จแล้วจึงขาย ซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมของตลาดระดับไฮเอนด์ที่เค้าต้องการบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว การทำแบบนี้ทำให้เราสามารถรับรู้รายได้ได้ทันที หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้วก็จะสามารถโอนได้ประมาณ 30 วัน ทำให้ไม่ต้องมี Backlog ซึ่งมีความเสี่ยงไปรับรู้อีกทีก็ค่อนข้างนาน"นายชวินธร กล่าวเพิ่มเติม

ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการที่สร้างเสร็จและเปิดขายทั้งสิ้น 5 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเดอะแกรนด์ พระราม 2 เนื้อที่ 700 ไร่ ปัจจุบันพัฒนาไปแล้วกว่า 400 ไร่ ซึ่งเป็นโครงการเมกะโปรเจ็คของบริษัท, โครงการบ้านเดอะแกรนด์ วงแหวน-ประชาอุทิศ โครงการ URBAN สาธร เหลือขายเพียง 10 ยูนิตสุดท้ายในไตรมาส 4/56 มูลค่ารวมโครงการที่เหลือกว่า 100 ล้านบาท และล่าสุดเปิดโครงการใหม่ คือ โครงการเดอะแกรนด์ อุดมสุข มูลค่ารวม 1,800 ล้านบาท โดยได้มีการทดลองขายไปแล้วในไตรมาส 2/56 จำนวน 3 ยูนิต มูลค่ารวม 53 ล้านบาท

ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ คือ The PANO บนถนนพระราม 3 แบ่งเป็นอาคารสูง 55 ชั้น และอาคาร 8 ชั้น ปัจจุบันได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว

แผนงานในปีหน้าจะมีการเปิดโครงการใหม่แน่นอนแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการเดอะแกรนด์ ปิ่นเกล้า บนถนนบรมราชชนนี เป็นโครงการบ้านเดี่ยว เนื้อที่ 197-198 ไร่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการประเมินมูลค่าโครงการและราคาขาย พร้อมทั้ง จะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ของบริษัทเพิ่ม 1 แบรนด์ เป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ที่บางกรวย-ไทรน้อย จ.นนทบุรี เนื้อที่ 16-17 ไร่ ห่างจากรถไฟฟ้าประมารณ 4 กิโลเมตร จำนวนยูนิตกว่า 100 ยูนิต ราคาขายต่ำกว่า 5 ล้านบาท/ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะใช้เป็นแบรนด์รุกตลาดในระดับกลาง-ล่าง

"ตอนนี้เราก็กำลังคิดชื่อแบรนด์ใหม่อยู่สำหรับโครงการทาวน์เฮาส์ที่บางกรวย-ไทรน้อย เราอยากลองมาทำตลาดในระดับกลาง-ล่างบ้าง เพื่อเป็นช่องทางในการเติบโตอีกช่องทางของบริษัท แต่โครงการเราก็ยังเป็นระดับพรีเมี่ยมอยู่นะ และโครงการนี้จะไซส์เล็กลงหน่อย เพื่อรองรับ Local Demand ซึ่งเราพยายามทำราคาให้ต่ำกว่า 5 ล้านบาท

ขณะที่ต้นทุนค่าก่อสร้างเราคิดว่าทั้งตลาดเพิ่มขึ้นมาประมาณ 3-5% แต่ค่าที่ดินปัจจุบันขึ้นเร็วกว่าค่าก่อสร้าง แต่ต้นทุนที่ดินไม่กระทบกับเรา เพราะเรามีการซื้อที่ดินไว้จำนวนมากไว้ก่อนเพื่อรองรับการขยายโครงการในอนาคต อย่างเช่น โครงการเดอะแกรนด์พระราม 2 ที่เราซื้อไว้เยอะ ตอนนี้ต้นทุนที่ดินเราก็ถือว่าถูกกว่าคู่แข่ง แต่เรื่องต้นทุนค่าก่อสร้างที่ขึ้นเราก็ยังไม่ได้มีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น ก็พยายามคงราคาขายไว้ ยกเว้นบางที่ที่มีความต้องการมาก จนเราทำเสร็จไม่ทันขายเราอาจจะต้องปรับเพิ่มบ้าน และเราก็มีต้นทุนดอกเบี้ยของธนาคารอีกอันที่เราแบกไว้ ส่วนแผนการสางงบซื้อที่ดินในปีหน้าตอนนี้เรากำลังวางแผนเงินที่จะใช้กันอยู่"นายชวินธร กล่าว

นายชวินธร กล่าวอีกว่า บริษัทยังไม่มีแผนในการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด เนื่องจากต้องการเน้นพัฒนาตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีกำลังซื้อมากกว่าต่างจังหวัด อีกทั้งขณะนี้ยังมองไม่เห็นถึงการเติบโตในระยะยาวของตลาดต่างจังหวัด

สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 30 มิ.ย.56 ประกอบด้วย บริษัท เฟรเซอร์ (ไทยแลนด์) พีทีอี แอลทีดี จำกัด ถือหุ้น 720 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 40.45% หลังเสนอขาย IPO จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 30%, บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟค (PF) ถือหุ้น 359,999,640 หุ้นหรือคิดเป็น 20.22% และจะลดสัดส่วนเหลือ 15%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ