(เพิ่มเติม) PTTGC คาด Q4/56 กำไรดีขึ้นกว่า Q3/56, EBITDA ปี 57 โตต่อเนื่อง 10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 11, 2013 16:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) คาดว่ากำไรในไตรมาส 4/56 จะดีกว่าในไตรมาส 3/56 เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นมาใกล้ 90% จากไตรมาส 3/56 อยู่ที่ 75% ขณะที่โรงกลั่นน้ำมันและโรงอะโรเมติกส์ยังเดินเครื่องผลิตเต็มกำลังที่อัตรา 98% และ 91% ในไตรมาส 3/56

สำหรับโรงแยกก๊าซหน่วย 5 ซึ่งจัดส่งก๊าซให้กับโรงโอเลฟิน I4-2 สามารถกลับมาเดินเครื่องได้แล้ว 50% หลังปิดลงตั้งแต่ 14 ส.ค.ภายหลังจากเกิดเหตุฟ้าผ่า ทำให้โรง I4-2 เดินเครื่องได้เร็วขึ้นไปด้วย ทำให้ประเมินผลกระทบต่อกำไรลดลงเหลือเพียง 200 ล้านบาท/เดือน จากเดิมคาดว่าจะมีผลกระทบสูงถึง 400 ล้านบาท/เดือน อีกทั้งไตรมาส 4/56 จะไม่มีการหยุดซ่อมโรง I4-1 เหมือนในไตรมาส 3/56

ประกอบกับราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/56 ได้แก่ HDPE ขณะนี้ปรับขึ้นมาที่ 1,530 เหรียญ/ตัน จากงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,480-1,480 เหรียญ/ตัน, เบนซีน ราคาตอนนี้อยู่ที่กว่า 300 เหรียญ/ตัน เทียบจากราคาเฉลี่ยปีที่แล้วอยู่ที่ 260 เหรียญ/ตัน

"ในไตรมาส 4/56 โพลิเมอร์ Run เต็ม 100% น่าจะทำให้กำไรดี เพราะจะมีการใช้ capacity ดีกว่าในไตรมาส 3 และก็ไม่มีโรงไหน shut down"นายบวร กล่าว

นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี PTTGC คาดว่า กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA)ในปี 56 จะเพิ่มขึ้น 170 ล้านเหรียญ หรือเติบโตราว 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 1.8 พันล้านเหรียญ ซึ่งมาจากโครงการ Synergy ของโรงงานในกลุ่มบริษัท และในปีหน้าก็จะทำได้อีก 110 ล้านเหรียญ ทั้งนี้คาดว่าในช่วง 5 ปี(ปี 55-60)บริษัทจะมี EBITDA เพิ่มขึ้น 25-30% จากปี 55 ซึ่งเชื่อว่าจะดำเนินการได้ตามแผน

แต่เนื่องจากในปีนี้บริษ้ทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 3 เรื่องหลักได้แก่ กรณีเหตุการณ์น้ำมันรั่ว, โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก LDPE ปิดซ่อม 3 เดือนครึ่งซึ่งประเมินกระทบกำไรสุทธิ 600 ล้านบาท และผลกระทบจากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 5 ปิดซ่อมจากฟ้าผ่าทำให้ไม่มีวัตถุดิบเดินเครื่องผลิตได้ ดังนั้น อาจจะทำให้ EBITDA ในปีนี้เติบโตราว 7-8% โดยงวด 9 เดือนปี 56 เติบโต 8%

"ปีนี้ถ้าไม่มีเหตุการณ์ 3 เด้ง EBITDA มีโอกาสเพิ่มมากว่า 10%" นายปฏิภาณ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในปี 57 บริษัทคาดว่า EBITDA จะเติบโต 10% เนื่องจากปีหน้าธุรกิจโอเลฟินส์เริ่มเป็นขาขึ้น จากราคาผลิตภัณฑ์ที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/56 ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์อ่อนตัวลงในปีหน้าเทียบจากปีนี้ ส่วนธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันคาดว่าทรงตัว

ทั้งนี้ ธุรกิจโอเลฟินส์มีสัดส่วนถึง 55% ของ EBITDA โดยคาดว่าปี 57 จะมีส่วนต่างราคาขึ้นมาที่ประมาณ 570-580 เหรียญ/ตัน จากปีนี้คาดที่ 530-560 เหรียญ/ตัน โดยต้นไตรมาส 4/56 ราคาปรับขึ้นมาราว 600 เหรียญ/ตัน

นอกจากนี้ยังไม่นับกำไรพิเศษ หากบริษัทได้รับเงินชดเชยค่าประกันจากกรณีเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่ได้ตั้งสำรองไว้ 1,000 ล้านบาทในไตรมาส 3/56

ทั้งนี้ กำไรสุทธิในไตรมาส 3/56 อยู่ที่ 9.61 พันล้านบาท EBITDA อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ ลดลง 25% และ EBITDA ลดลง 12% แต่เทียบกับไตรมาส 2/56 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 130% และ EBITDA เพิ่มขึ้น 43%

*ร่วมทุนเปอตามีน่าถือเป็นก้าวสำคัญ

นายบวร คาดว่า บริษัทจะสามารถเซ็นสัญญาร่วมทุนกับเปอตามีน่าของอินโดนีเซียในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ได้ในวันที่ 10 ธ.ค.นี้ โดยโครงการนี้คาดใช้เงินลงทุน 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขั้นตอนนี้จะมีผู้ร่วมทุน 2 รายก่อน ส่วนรายที่ 3 ยังอยู่ระหว่างเจรจากันอยู่ที่มาจากญี่ปุ่นและเกาหลี โดยปัจจุบัน เปอตามีน่า ยังคงถือหุ้นในสัดส่วน 51% ส่วนอีก 49% เป็นของบริษัท

โครงการดังกล่าวจะมีกำลังการผลิตโอเลฟนิส์ 1 ล้านตัน และจะมีสินค้าผลิตภัณฑ์ขั้นปลาย เพื่อป้อนในตลาดอินโดนีเซียเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างได้ในปลายปี 57 ซึ่งจะเริ่มในใช้เงินลงทุน ทั้งนี้ การเข้าร่วมกับเปอตามีน่าครั้งนี้จะกลายเป็นก้าวสำคัญของบริษัท เพราะตลาดอินโดนีเซียนับว่าเป็นตลาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันอินโดนีเซียนำเข้าเม็ดพลาสติก 40% ของปริมาณการใช้ และเศรษฐกิจเติบโตอย่างมาก

ขณะที่การร่วมทุนโครงการปิโตรเคมีกับซิโนเคมของจีนอยู่ระหว่างการเจรจากันอยู่เชื่อว่าจะไปได้ด้วยดี โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน พ.ย.-ธ.ค. ปีนี้

ส่วนการเข้าร่วมทุนกับปิโตรนาสของมาเลเซีย บริษัทคาดว่าจะตัดสินใจได้ภายในไตรมาส 1/57 โดยบริษัทร่วมมือผลิตผลิตภัณฑ์ 2 ตัว หากไม่สามารถดำเนินการได้บริษัทได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว

ทั้งนี้ งบลงทุนในช่วง 5 ปี รวม 4.5 พันล้านเหรียญ โดยมาจากรายได้บริษัท 2.5 พันล้านเหรียญ และ 2 พันล้านเหรียญมาจากหุ้นกู้หรือเงินกู้ ซึ่งบริษัทได้ออกหุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐ 1 พันล้านเหรียญแล้วเมื่อ ก.ย.55


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ