สัญญาณจาก SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนทองคำที่ใหญ่ที่สุดของโลกในเวลานี้ มีการทรงตัวของยอดสะสมที่ระดับ 800 ตัน สอดคล้องกับราคาทองคำที่ไม่หลุดระดับ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นบริเวณที่ใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยของเหมืองทองคำทั่วโลก จึงคาดว่าแรงขายจากผู้เล่นหลักในตลาดทองคำจะลดลงในปีนี้ และอาจมีแนวโน้มที่ SPDR จะทยอยซื้อสะสมทองคำเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาทองคำอ่อนตัวใกล้ระดับ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยที่ต้องติดตามในปีนี้ยังคงเป็นเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรปเช่นเดียวกับปีที่แล้ว แต่การฟื้นตัวของสหรัฐฯจะเชื่อมโยงกับการปรับลด QE และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed เป็นสำคัญ
นอกจากนี้ งบดุลของ Fed, หนี้สาธารณะ และการขาดดุลอย่างมหาศาลของรัฐบาลกลาง ก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเช่นกัน ส่วนทางยุโรป อาจต้องโฟกัสมากขึ้นถึงการฟื้นตัวได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ของกลุ่ม PIIGS ซึ่งจะมีผลต่อค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และอาจเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำได้
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำโดยตรง คือ ดีมานด์จากจีนและอินเดีย 2 ผู้เล่นสำคัญที่กินสัดส่วนการนำเข้าทองคำกว่า 50% ของโลก โดยหากราคาไม่ต่ำลงมากในปีนี้เราอาจได้เห็นอินเดียกลับมาทวงตำแหน่งแชมป์ประเทศผู้ซื้อทองคำคืนจากจีนก็เป็นได้ เนื่องจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของอินเดียมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลมีแผนจะลดหรือยกเลิกมาตรการจำกัดการนำเข้าทองคำในปีนี้ หากราคาทองคำมีการปรับตัวลดลง แต่ไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่า 1,180 จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และกองทุน ETF ทองคำ ซึ่งจะเข้ามาสะสมทองคำเพิ่มขึ้นบริเวณ 1,200-1,250 ดอลลาร์/ออนซ์ และถ้าหากการถือครองทองคำในพอร์ตของ SPDR ว่ามีการเพิ่มขึ้นตามลำดับ ก็ยิ่งมั่นใจได้ว่า อาจเป็นการส่งสัญญาณจบรอบขาลงแล้วก็เป็นได้ ซึ่งจะถูกยืนยันด้วยการดีดกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วของราคาให้กลับมายืนเหนือ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ อีกครั้ง