PJW ตั้งเป้า 3 ปีโตเฉลี่ย 10-15% กำไรขั้นต้น 15-18%,รับปีนี้ทรงตัวหรือโตไม่มาก

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 3, 2014 11:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW)เปิดเผยว่า แผนดำเนินธุรกิจในระยะยาววางเป้าหมายการเติบโตปีละ 10-15% ในช่วง 3 ปีจากนี้ (58-60) กำไรขั้นต้น 15-18% เนื่องจากในปี 56 ต่อเนื่องถึงปี 57 ได้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก เพื่อรองรับการเติบโตทั้งการขยายกำลังการผลิต ลดต้นทุน ซื้อเครื่องจักร ทดแทนของเก่า และมุ่งเน้นการสรรหาและพัฒนาบุคลากร ทั้งในส่วนของการจัดการ เทคนิคการผลิต และการตลาด เพื่อเสริมประสิทธิภาพ เพื่อสร้างรายได้และการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

"ปีนี้ภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว คาดว่าจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของ PJW ในภาพรวมจากปริมาณความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดส่งออกทางอ้อม ทั้งจากลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันหล่อลื่น ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์สำหรับนมและนมเปรี้ยว โดยบริษัทมีการลงทุนในอาคารคลังสินค้าและเครื่องจักรเพื่อรองรับการเติบโตของยอดขาย

สำหรับปีนี้สัดส่วนของตลาดผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์สำหรับนมและนมเปรี้ยวน่าจะขยายตัวได้ดีในช่วงปลายปี ในส่วนประเทศจีน จากยอดขายที่มีการเติบโตของลูกค้ารายเก่าและมีการเพิ่มลูกค้ารายใหม่ในช่วงกลางปีก่อนทำให้ปีนี้ประเทศจีน คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 8% จากเดิม 7%"นายวิวรรธน์ กล่าว

บริษัทได้รับออเดอร์ใหม่ด้านยานยนต์ ซึ่งเป็นโมเดลใหม่ กำหนดออกสู่ตลาดช่วงปลายปี 57 จนถึงปี 58 ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนโรงพ่นสีของเราได้เริ่มทำการผลิตและจะมียอดขายในช่วงปลายปีนี้และจะมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง แต่คาดว่าจะสามารถมีกำลังการผลิตที่จุดคุ้มทุน ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท ในปี 59-60 หากกำลังการผลิตเต็มที่ (Full Capacity) จะสร้างรายได้ 800-1,000 ล้านบาท ซึ่งทีมงานบริหารตั้งเป้าไว้ภายใน 5 ปี

ปัจจุบัน PJW มีสัดส่วนรายได้จากบรรจุภัณฑ์พลาสติกบรรจุน้ำมันหล่อลื่น 61% นมและนมเปรี้ยว 13% สินค้าอุปโภคบริโภคและน้ำยาเคมี 11% และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์ 15%

บริษัทได้วางเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมพลาสติกรายใหญ่ของประเทศ ในด้านของการแปรรูปพลาสติกและกระบวนการเป่าขึ้นรูป รวมทั้งเป็นผู้นำในกลุ่มอาเซียน (Regional Leader) รองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ปี 2558 เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรายใหญ่ โดยเฉพาะด้านยานยนต์ ตลอดถึงได้วางเป้าหมายสู่การเป็น World Class Manufacturing อย่างยั่งยืน ด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่ง

นายวิวรรธน์ กล่าวงอีกว่าในปีนี้บริษัทคงเป้ารายได้เติบโต 15% หลังจากครึ่งปีแรกยังสามารถเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้สถานการณ์ทางการเมืองกระทบกับเศรษฐกิจให้มีการชะลอตัว อย่างไรก็ตามบริษัทฯรถยนต์ต่างๆยังออกโมเดลใหม่และโมเดลเดิมก็ยังมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่องที่ช่วยให้บริษัทยังมีการเติบโตได้

นอกจากนี้ ยังมองว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก หลังได้รับผลดีจากที่ทาง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้ามามีอำนาจเต็มในการบริหาร และได้มีการจ่ายเงินจำนำข้าวให้กับชาวนา รวมถึงโครงการต่างๆที่ชะลอออกไป ที่กลับมาอีกครั้ง จะช่วยให้เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีการเติบโต

"ครึ่งปีแรกเราก็ยังมีการเติบโตเพราะตามค่ายรถยนต์ยังมีการออกโมเดลใหม่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าโมเดลเดิมๆอาจจะมีคำสั่งที่ลดลงไปจากเดิมบ้าง ในครึ่งปีหลังเองเรามองว่าจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรกหลังจากนโยบายกระตุ้นเศรษกิจต่างๆเริ่มทยอยออกมา" นายวิวรรธน์ กล่าว

นายวิวรรธน์ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาและปีนี้ผลประกอบการจะทรงตัวและเติบโตได้ไม่มาก เนื่องจากภาวะตลาดในประเทศทั้งตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ น้ำมันหล่อลื่นและบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคและน้ำยาเคมีชะลอตัวตามเศรษฐกิจภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง นอกจากนี้ราคาน้ำมันแพงขึ้นทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนปัจจัยการผลิตอื่นทั้งค่าแรงและค่าไฟฟ้าสูงขึ้น และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มสูงขึ้นของโครงการที่ลงทุนไปแล้วแต่ยังไม่ก่อให้เกิดยอดขาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ทำให้ความสามารถทำกำไรในปีที่แล้วและปีนี้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และจะทรงตัวไประยะเวลาหนึ่งจนกว่าจะถึงจุดคุ้มค่าจากการลงทุน

ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับเพิ่มงบลงทุนปีนี้ขึ้นเป็น 300 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งงบลงทุนไว้ราว 100 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นซื้อเครื่องจักรใหม่แทนเครื่องจักรเดิม ราว 50 ล้านบาท และอีก 200-250 ล้านบาท จะใช้ในการลงทุนเครื่องพ่นสีชิ้นส่วนยานยนต์ขนาดใหญ่ ที่ก่อนหน้านี้ทางบริษัทฯไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งหลังจากที่มีการลงทุนเพิ่มทางบริษัทจะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นราว 2 ล้านบาท/ปี และทางบริษัทจะตัดค่าเสื่อมทันทีในปีนี้ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 18%

"ปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นของเราไม่เพิ่มขึ้นเพราะเรามีการลงทุนเพิ่มทำให้ต้องมีดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น และการหักค่าเสื่อมทันทีปีนี้ แต่เรามองว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยรองรับการเติบโตในอนาคต เพราะเรามองว่าประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตรถยนต์ในอนาคต หลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)"นายวิวรรธน์กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ