บริษัทมีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 634 ล้านหุ้น และเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิม 125 ล้านหุ้น รวมเสนอขาย 759 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เพื่อระดมทุนไปใช้ในการขยายการลงทุนในอนาคต รวมทั้งชำระคืนตั๋วแลกเงินให้กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ราว 100 ล้านบาท
AIRA ดำเนินธุรกิจการลงทุนในบริษัทอื่น(Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจการเงิน รายได้ส่วนใหญ่มาจากการดำเนินงานของบริษัทย่อย ปัจจุบัน มีบริษัทในเครือ 4 บริษัท ได้แก่ บล.ไอร่า(AS) หรือเดิมคือ บล.พรูเดนท์ สยาม, บมจ.ไอร่า แฟคตอริ่ง(AF) หรือเดิมคือ บมจ.ธนมิตร แฟคตอริ่ง, AIRA International Advisory(Singapore) Ple.,Ltd (AI) และ บริษัท ไอร่า แอดไวเซอรี่ จำกัด(AD) หรือเดิมคือ ธรรมนิติและทรูธ นางนลินี กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจด้านการเงินเพิ่มเติม ทั้งธุรกิจให้เช่า, ธุรกิจประกันภัย, ธุรกิจเช่าซื้อ(ลีสซิ่ง) และ ธุรกิจสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งคาดว่าจะทยอยเพิ่มบริษัทย่อยเข้ามาในโฮลดิ้งในช่วง 2-3 ปีนี้ โดยจะอยู่ภายใต้เงื้อนไขที่บริษัทจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นหลักและถือหุ้นใหญ่
นอกจากนั้น บริษัทยังศึกษาการลงทุนในธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินทุนราว 25% ของทั้งหมดเพื่อเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ที่น่าสนใจ โดยอาจจะเป็นธุรกิจพลังงานทดแทน หรือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทพิจารณาแล้วว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี โดย AIRA จะเข้าถือหุ้นในแต่ละธุรกิจในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 25.1% เน้นการเข้าถือหุ้นระยะยาว 5-7 ปี คาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 58
"การซื้อกิจการเป็นทางหลักที่เราเติบโตมา แต่ละบริษัทมีโครงสร้างที่แยกออกจากกันชัดเจน บอร์ดก็คนละบอร์ด ผู้บริหารก็คนละคน มีทั้งคนไทยและต่างชาติที่มีประสบการณ์มายาวนาน ทุกบริษัทมีกำไรมาตลอด"นางนลินี กล่าวผลประกอบการของบริษัทมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% แต่ในปี 56 รายได้และกำไรของบริษัทเติบโตก้าวกระโดดตามการภาวะตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากสัดส่วนรายได้หลักมาจากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ทำให้รายได้เติบโตจาก 484 ล้านบาทในปี 55 เป็น 789.43 ล้านบาทในปี 56 ขณะที้กำไรของบริษัทเติบโตจาก 48 ล้านบาทในปี 55 เป็น 107 ล้านบาท ส่วนปี 57 ครึ่งปีแรกหดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เติบโตอย่างผิดปกติ แต่ช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกัน ภายใต้คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ที่มองว่าน่าจะโตได้สูงกว่า 2%
นางนลินี กล่าวว่า บริษัทมีจุดเด่นที่ความแข็งแกร่งของฐานธุรกิจที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลักๆ 4 กลุ่ม ประกอบด้วย ตระกูลจุฬางกูร, นายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ, ตระกูลวิไลลักษณ์ และตระกูลงามเศรษฐมาศ ซึ่งมีนโยบายลงทุนในระยะยาว และพร้อมสนับสนุนด้านเงินทุนให้กับบริษัท ขณะที่ให้อิสระในการบริหารงานกับกลุ่มผู้บริหารปัจจุบันอย่างเต็มที่
ปัจจุบัน กลุ่มจุฬางกูร ถือหุ้น AIRA ในนาม บริษัท เจ อาร์ เค โฮลดิ้งส์ ในสัดส่วน 44.67% และภายหลังการออกใบสำคัญแสดงสิทธิจะซื้อหุ้นสามัญ(ESOP warrant) และการเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนเป็น 36.20%, กลุ่มงานเศรษฐมาศ ถือหุ้น 12% และคาดว่าจะลดสัดส่วนลงเหลือ 10.19%, กลุ่มนายโกมล จึงรุ่งเรืองกิจ ถือหุ้น 9.44% จะลดสัดส่วนลงเหลือ 7.65% ส่วนกลุ่มวิไลลักษณ์ถือหุ้น 8.28% จะลดสัดส่วนลงเหลือ 6.71%