(เพิ่มเติม) NOBLE ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 6 พันลบ. เตรียมเปิด 3 โครงการใหม่ก่อนสิ้นปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 6, 2014 14:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) กล่าวว่า บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการใหญ่ก่อนสิ้นปี 57 มูลค่ารวมราว 6-7 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 6 พันล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Blacklog) อยู่ที่ 1.52 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 3 พันล้านบาท

นายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NOBLE กล่าวว่า ผลการดำเนินในปีนี้ NOBLE ได้ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ที่ 6 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกของปีนี้มียอดขายอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังจะมีเดินเครื่องเปิดโครการใหม่ 3 โครงการใหญ่ให้ทันก่อนสิ้นปี 57 มูลค่า 6-7 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการที่เพิ่มยอดขายของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ หลังจากครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองทำให้ยังไม่มีการเปิดโครงการใหม่ แต่บริษัทก็สามารถทำยอดขายได้เป็นไปตามเป้าหมายในครึ่งปีแรก นอกจากนี้บริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้(จาก Blacklog)ในปัจจุบันจำนวน 1.52 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 57 ราว 3 พันล้านบาท

*ตามแกะรอย ESTEEMED เก็บหุ้น NOBLE 24%

ประธานกรรมการ NOBLE กล่าวว่า บริษัทได้มีการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่ ESTEEMED NETWORKS GROUP LIMITED ได้ทยอยเข้าซื้อหุ้น NOBLE ถึง 6 ครั้งภายในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน (ประมาณ 6 เดือน) ซึ่ง ESTEEMED เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ใน British Virgin Island (BVI) และไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนแก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (กลต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

โดย ESTEEMED NETWORKS GROUP LIMITED ได้ให้บริษัท ABN AMRO NOMINEES SINGAPORE PTE LTD ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ โดยมีบริษัท Vistra ซึ่งเป็นบริษัทรับจ้างเป็นนอมีนีทำการซื้อหุ้น NOBLE โดยปัจจุบัน ABN AMRO NOMINEES SINGAPORE PTE LTD มีสัดส่วนการถือหุ้น NOBLE อยู่ที่ 24.06%

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ตั้งข้อสงสัยว่า ESTEEMED NETWORKS GROUP LIMITED อาจเป็นกลุ่มบุคคลที่อยู่ในประเทศไทย ที่ไปลงทุนใน British Virgin Island (BVI) เพื่อสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ได้จ้างวานบริษัท Vistra ที่สิงคโปร์ให้เป็นนอมีนีเข้ามาซื้อหุ้น NOBLE อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกลุ่มบุคคลดังกล่าวนั้นไม่มีการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อบริษัทให้ได้ทราบ มีการรายงานการถือหุ้นที่ผิดกฎหมาย หลีกเลี่ยงการทำคำเสนอซื้อหุ้น (Tender Offer) การมีลักษณะร่วมกัน (Acting in Concert) เพื่อครอบงำกิจการ และท้าทายอำนาจรัฐ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์กฏหมายและกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ทำให้มีผลกระทบต่อตลาดทุน บริษัท และผู้ถือหุ้น

"ชื่อ ESTEEMED ที่โผล่ขึ้นมานี้ที่เราพบความไม่ชอบมาพากล ซึ่งมีความยอกย้อนและซับซ้อน เราได้ตั้งข้อสงสัยว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นตัวจริงนั้นจะเป็นกลุ่มบุคคลในประเทศ ที่ไปจัดตั้งบริษัทใน British Virgin Island เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี และใช้นอมีนีเป็นบริษัทในสิงคโปร์ที่เราพบคือ Vistra ในรายงานการถือหุ้น 246-2 ซึ่งเป็นเงื่อนงำใหญ่ โดยไม่เป็นไปตามกฎหมาย บริษัท Vistra จริงๆไม่ได้ทำไรเลย ใครมาจ้างให้เป็นนอมีนีก็เป็นแล้วรับเงินค่าจ้าง การกระทำแบบนี้เพื่อเป็นการปัดความรับผิดชอบของไอ้โหม่งที่อยู่ข้างหลัง ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าเป็นใครและมีเหตุผลอะไรในการเข้ามาถือหุ้น NOBLE อย่างมีนัยสำคัญอย่างนี้ เราอยากให้ผู้ถือหุ้นตัวจริงออกมาแสดงตัว เพราะการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฏหมายและกระทบต่อตลาดทุนไทย"นายกิตติ กล่าว

*คงมติเพิ่มทุนขาย PP 200 ล้านหุ้น-อยู่ระหว่างดำเนินการ

ในแง่ของการดำเนินการตามกฏหมายขณะนี้บริษัทได้มีการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้มีการตรวจสอบตัวตนที่แท้จริงของ ESTEEMED NETWORKS GROUP LIMITED หลังจากบริษัทได้ถูกบริษัทดังกล่าวร้องเรียนในเรื่องมติการของที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเรื่องของการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงจำ (PP) จำนวน 200 ล้านหุ้น เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าประชุมผู้ถือหุ้น โดยบริษัทดังกล่าวได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ (กลต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเรื่องดังกล่าว นายกิตติ ได้ชี้แจงว่า ได้มีการส่งหนังสือเพื่อเรียกผู้ถือหุ้นเข้ามาประชุมผู้ถือหุ้นสามัญในวันที่ 28 เม.ย. 57 ให้กับบริษัทดังกล่าวแล้ว แต่วันประชุมผู้ถือหุ้นจริงบริษัทดังกล่าวได้ส่งตัวแทนมาแต่รับรองเอกสารไม่ครบ ทำให้ไม่สามารถเข้าประชุมผู้ถือหุ้นได้

ทั้งนี้ จากการร้องเรียนของ ESTEEMED NETWORKS GROUP LIMITED ต่อกระทรวงพาณิชย์ให้มีการเพิกถอนเรื่องมติการของที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเรื่องของการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงจำ (PP) จำนวน 200 ล้านหุ้น ทางกระทรวงพาณิชย์ได้มีข้อสรุปให้เพิกถอนเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไปแล้ว ทำให้ปัจจุบันมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเรื่องของการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 200 ล้านหุ้น ยังคงอยู่ในระหว่างการดำเนินการ โดยบริษัทยังไม่ได้มีการสรรหาบุคคลที่จะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทเป็นพิเศษ

นายกิตติ ชี้แจงว่า มติที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเรื่องของการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงจำ (PP) จำนวน 200 ล้านหุ้น เป็นมติที่ผู้ถือหุ้นในที่ประชุมเสนอเป็นวาระขึ้นมาเอง ซึ่งทางคณะผู้บริหารไม่ได้มีการเตรียมการและวางแผนมาล่วงหน้า โดยมีการรับรองมติจำนวน 46% ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด และมีมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นเห็นชอบต่อวาระการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงจำ (PP) จำนวน 200 ล้านหุ้น จำนวน 90% โดยให้เหตุผลว่า ผู้ถือหุ้นต้องการให้ NOBLE นำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปชำระหนี้สินเพื่อทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงเกือบ 3 เท่า แต่แนวทางของคณะผู้บริหารอาจจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปชำระหนี้เพื่อลดอัตรส่วนหนี้สินต่อทุนส่วนหนึ่งและส่วนหนึ่งจะนำไปใช้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท

"เรื่องมติการเพิ่มทุนเป็นเรื่องที่เราไม่ได้มีการเตรียมตัวขึ้นมาก่อน ผู้ถือหุ้นในที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนั้นเป็นคนเสนอวาระขึ้นมาเอง และมีการรับรอง 45% ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด และเห็นชอบ 90% ผู้ถือหุ้นเขาอยากให้เราไปลด D/E ให้ต่ำลง เพราะปัจจุบันนี้อยู่สูงมากเกือบ 3% แต่ผมคงอาจจะไม่นำไปลด D/E อย่างเดียว อาจจะนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการของบริษัทด้วยเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของบริษัท ซึ่งถ้านำไปลด D/E อย่างเดียว D/E ก็จะลดลงมากอาจจะอยู่ที่ 1.6-1.7 เท่า แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้คิดอะไรและก็ยังไม่ได้มีการคุยกับใครเป็นพิเศษที่จะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน เราต้องการคนที่มีศักยภาพในการเข้ามาถือหุ้นเรา มาช่วยเราให้บริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นทุกคนได้รับประโยชน์"นายกิตติ กล่าว

*"กิตติ ธนากิจอำนวย" ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน NOBLE

ด้านกระแสข่าวการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อป้องกัน ESTEEMED NETWORKS GROUP LIMITED เข้าครอบงำกิจการนั้น นายกิตติ กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการป้องกัน ESTEEMED เข้าครอบงำบริษัท เพราะกลุ่มของนายกิตติ ธนากิจอำนวย ยังเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า ESTEEMED ที่ถือหุ้นอยู่ 24.06% จำนวน 1 เท่า หรือประมาณ 48% ทำให้มั่นใจว่าการเพิ่มทุนแบบ PP ไม่ได้เพื่อป้องกันการครอบงำบริษัทจากบุคคลที่ไม่เปืดเผยตัวตนที่แท้จริง แต่เพื่อความแข็งแกร่งของ NOBLE ที่คณะผู้บริหารต้องการให้ NOBLE มีความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต

"ผมยืนยันว่าการเพิ่มทุนไม่ได้ป้องกันไอ้โหม่งเข้ามาเทคฯ เพราะกลุ่มผมเองถือหุ้นมากกว่าเขา 1 เท่า เขาถือประมาณ 24% เราก็ถือมากกว่าประมาณ 48% ยังไงเราก็ยังเป็นกล่มผู้ถือหุ้นใหญ่และมากที่สุดอยู่ ผมก็ยังบริหาร NOBLE ต้องการให้ NOBLE มีความสำเร็จในอนาคตอย่างยิ่งใหญ่ ที่จริงก็ใกล้ถึงเวลาส่งต่อแล้วเพราะผมก็อายุมากแล้ว ผมยังไงก็ยังอยู่ที่นี่ อยากให้ NOBLE เติบโตอย่างแข็งแกร่งจริง เรื่องที่จะมาป้องกันการเทคฯ ผมไม่เคยคิด ถ้าเขาอยากเทคฯก็ต้องทำ Tender Offer ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องของตลาด วันนี้ที่ต้องมาออกสื่อเพราะต้องการความชอบธรรม ที่ผ่านมาเหมือนโดนกลุ่มนั้นกลั่นแกล้งมา อยากให้เขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ตอนนี้ผมรอการตรวจสอบจากหน่วยงานของรัฐ เพราะเชื่อว่ามีความศักด์สิทธิ์และมีความเชื่อมั่นมากกว่า ตอนนี้เราต้องการพิสูจน์ว่าเรามีความถูกต้องอย่างบริสุทธิ์จริงๆ"นายกิตติ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ