บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นบมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่(TSE)ประเมินมูลค่าที่เหมาะสม 4.2 บาท(SOTP) และ Best case 4.7 บาท โดยใช้วิธี DCF สำหรับแต่ละโครงการ รวมกับโครงการที่มีโอกาสชนะใน 12 เดือนข้างหน้า หากวัดจากกำลังการผลิตปัจจุบันจะอยู่ที่ 3 บาท/หุ้น และรวมโครงการใหม่อีก 60 MW จะได้เพิ่มอีก 1.2 บาท และใน Best case ได้เพิ่มขึ้นอีก 1.7 บาท
TSE มีกำลังการผลิตรวม 66.5 MW โดยมาจากโซล่าฟาร์ม 72%, หลังคาโซล่า 21% และพลังงานความร้อน 7% ณ สิ้นเดือน มิ.ย. TSE มีส่วนแบ่งการตลาด 8% ในอุตสาหกรรม (คิดเป็นลำดับที่ 5) เราคาดอัตรากำไรของ EBITDA จะอยู่ที่ 82.5% สำหรับปี 2557F และ 84.7% สำหรับปี 2558F หนุนจาก 1) การรับประกันรายได้ขั้นได้ขั้นต่ำ 2) เงินลงทุนโซล่าฟาร์มและหลังคาโซล่าที่ต่ำ และ 3) ได้ประโยชน์จากการขยาย Economies of Scale
ทั้งนี้ TSE มีโซล่าฟาร์มทั้งสิ้น 10 โครงการ เริ่มรับรู้รายได้ระหว่างปี 56-57(โดยได้เงินสนับสนุน 6.5 kwh ระยะเวลา 10 ปี) สำหรับโครงการหลังคาโซล่า(11 MW จาก HMPRO และ 3 MW จากเดอะมอลล์กรุ๊ป)คาดว่าจะ COD ได้ครบภายในสิ้นปี สำหรับพลังงานความร้อนเริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2554 ทำให้กำลังการผลิตของ TSE เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 28.5 MW ในปี 56 เป็น 66.5 MW ภายในสิ้นปีนี้ โดยคาดกำไรจากการดำเนินงานที่ 291 ล้านบาทสำหรับปี 57F และ 468 ล้านบาท สำหรับปี 58F
หลังจากที่ภาครัฐหนุนกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 800 MW ทำให้เป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นเป็น 2.8 GW โดยมีการจัดสรรเหลือ 576 MW จากรอบก่อนหน้า และ 800 MW จากการจัดสรร รอบใหม่รวมแล้ว 1,376 MW ซึ่งจะจัดสรรภายใน 12 เดือน โดยหุ้นส่วนใหญ่จะรับรู้กำลังการผลิตเต็มจำนวนตั้งแต่ก่อนมีการจัดสรร โดยมองเป็น 2 กรณีคือ 1) กรณีฐานที่ 60 MW (4% ของทั้งหมด เนื่องจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น) 2) Best case 90 MW