ทั้งนี้ หากการเจรจาสำเร็จ บริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มทำการตลาดและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ภายในปี 58 ซึ่งเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะสร้างอัตรากำไร(มาร์จิ้น)ให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทันสมัย และตอบโจทย์ด้านความปลอดภัย และความต้องการของลูกค้าในกลุ่มลูกค้าด้านโรงงานอุตสหากรรมและอาคารสูง ตลอดจนรองรับงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่กำลังขยายตัวได้เป็นอย่างดี
“การเดินทางไปต่างประเทศในครั้งนี้ เป็นการดำเนินธุรกิจตามแผนการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อมาจำหน่ายในประเทศไทย เป็นการรองรับตลาดในกลุ่มลูกค้าโครงการอาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนงานโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้าใต้ดิน สนามบิน ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลายโครงการ โดยมีความชัดเจนในการดำเนินงานมากขึ้น หลังจากที่บริษัทฯได้เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันได้มีการดำเนินการในส่วนของระบบคอมพิวเตอร์ และการเพิ่มจำนวนพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น"นายวิรัฐ กล่าว
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 58 บริษัทฯคาดการณ์อัตราการเติบโตมีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบจากปีนี้ที่คาดว่ามีการเติบโต 10% จากปี 56 ที่มีรายได้ 519 ล้านบาทและมีกำไร 61 ล้านบาท ซึ่งมาจากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยหันมาเจาะกลุ่มลูกค้าในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม และกำลังจะขยายไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ส่วนงานติดตั้งระบบดับเพลิงในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งใหม่ และโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการปรับปรุงใหม่นั้น จะสร้างมาร์จิ้นในระดับที่สูงกว่าการจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ดับเพลิงให้กับกลุ่มผู้ประกอบการอาคารสำนักงาน หรืออาคารสูง ประเภทคอนโดมิเนียม ประมาณ 4-5% จากระดับมาร์จิ้น ปกติที่ประมาณ 11-12%
“บริษัทมั่นใจว่าปี 58 รายได้จากการการขายเติบโตได้เท่าตัวในบางตลาด เช่น ตลาดโรงงานอุตสาหกรรมและงานบริการเมื่อเทียบจากปีนี้ แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะมีการเติบโตไม่มาก แต่บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยเน้นในกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมและปิโตรเคมี ตลอดจนงานบริการมากขึ้น ประกอบกับการนำเข้าผลิตภัณฑ์อื่นๆ เข้ามาเป็นช่องทางใหม่ให้กับผู้บริโภค"นายวิรัฐ กล่าว