บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต และชำระหนี้เงินกู้บางส่วน โดยตั้งงบลงทุนในระยะ 3 ปีข้างหน้า (58-60) กว่า 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 58 ใช้เงิน 500 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตในประเทศไทยในธุรกิจออโต้ แพ็กเก็จจิ้ง และเสริมสร้างช่องทางจัดจำหน่าย ปี 59-60 ใช้เงินปีละเท่ากันราวปีละ 1,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตต่างประเทศและเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายต่างประเทศ งบฯ ดังกล่าว ยังไม่รวมการควบรวมกิจการ ซึ่งดูอยู่ตลอดเวลาตอนนี้ก็มีเจรจาอยู่หลายดีล
ปัจจุบันบริษัทมีเงินกู้สถาบันการเงิน 6,000 ล้านบาท DE ที่ 1.6 เท่า ซึ่งนโยบายจะควบคุมไม่ให้เกิน 2 เท่า
"ถ้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ ซึ่งคาดว่าจะทันปีนี้ เราก็จะเนื้อหอมเพราะเป็นหุ้นนวัตกรรมตัวแรกสอดคล้องกับที่ก.ล.ต.สนับสนุน"ขณะที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ในระยะ 3 ปีข้างหน้า (58-60) เติบโต 8-10% จากปี 57 (เม.ย.56-มี.ค.57) รายได้อยู่ที่ 6,592 ล้านบาท
สำหรับสัดส่วนรายได้ของกลุ่มบริษัท EPG ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉนวนยางกันความร้อน/เย็น 34% ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งรถยนต์ 33% และธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติก 33%
"ยังมั่นใจตลาดโลก สู่โหมดการเติบโตโดยเฉพาะอินฟราสตรัคเจอร์ รับประชาคมอาเซียน(AEC) และปีนี้เป็นต้นไปรัฐบาลไทยให้ความสำคัญเรื่องอินฟราฯ สินค้าเราก็จะขายดี"นายอรรถพงศ์ พรธิติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายวาณิชธนกิจ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ EPG กล่าวว่า จากการสำรวจบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกฯ) 5-6 แห่ง เช่น บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง บล.บัวหลวง บล.โนมูระ พัฒนสิน บล.ไทยพาณิชย์ บล.ซีไอเอ็มบีไทย ได้ราคาตลาด (Market Price)หุ้นของบริษัทระหว่าง 7-7.50 บาท/หุ้น แต่ทั้งนี้ยังไม่ใช่ราคา IPO