(เพิ่มเติม) KTAM เปิดขายทริกเกอร์ฟันด์ลุยหุ้นเอเชียเหนือ 5% ช่วง 12-20 ม.ค.นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 8, 2015 17:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม นอร์ท เอเชียอิควิตี้ 5% ทริกเกอร์ฟันด์ มูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท ราคาหน่วยลงทุนละ 10 บาท ในวันที่ 12-20 ม.ค.โดยลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศระยะยาว(อีทีเอฟ)ไม่น้อยกว่า 80% ที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุนตราสารทางการเงิน โดยในช่วงแรกจะเน้นการลงทุนในตลาดญี่ปุ่น ฮ่องกง และเกาหลีใต้ เป็นหลักต่อจากนั้นจะดูจังหวะเพื่อลงทุนในประเทศจีน

ในการบริหารกองทุน ผู้จัดการกองทุน สามารถปรับสัดส่วนการลงทุน ในแต่ละประเทศ ได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยบริษัทจะวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ทั้งภาพรวมของเศรษฐกิจโลก แนวโน้มการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ เช่น นโยบายอัตราดอกเบี้ย การอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนย้ายการลงทุน เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์ถึงแนวโน้มผลประกอบการ โดยภาพรวมเพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของตลาด เพื่อคัดสรรการลงทุน ในตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และมีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน โดยทีมวิจัยของบลจ.กรุงไทย จะคอยติดตาม และประเมินสภาวะตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การประเมินการตัดสินใจการลงทุนเป็นไปอย่างรวดเร็ว และทันต่อการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ บริษัทจะเลิกโครงการโดยอัตโนมัติ เมื่อหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10.7 บาท เป็นเวลา 3 วันทำการ และในกรณีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ที่มูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นจนเป็นเหตุให้เลิกกองทุนภายใน 6 เดือนนับจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวม บริษัทจะรับซื้อหน่วยลงทุนทุกวันทำการ แต่บริษัทจะบริหารกองทุนต่อไปจนได้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย โดยนโยบายในการบริหารกองทุนผู้จัดการกองทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในแต่ละประเทศได้ตามความเหมาะสม โดยจะดูผลตอบแทนตลาดและความได้เปรียบของอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าการเติบโตของตลาดเอเชียเหนือน่าจะดีกว่าที่ตั้งเป้าไว้ กองทุนมั่นใจว่าจะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า 5%

นางชวินดา กล่าวว่า หลังจากบริษัทประสบความสำเร็จจากการบริหารกองทุนเปิดเคแทมนอร์ท เอเชีย อิควิตี้ 8% ทริกเกอร์ ฟันด์ที่ใช้เวลาในการบริหารเพียง 36 วัน สร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 8 % จึงเห็นโอกาสในการลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนอีทีเอฟในภูมิภาคเอเชียเหนือ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกงและเกาหลีใต้ เนื่องจากประเทศข้างต้นจะได้รับผลบวกจากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบของรัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศ

สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศนอร์ทเอเชีย เริ่มที่ญี่ปุ่นนโยบายการเงิน-การคลังที่ยังผ่อนคลายจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนและรักษาแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ ไม่ว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางญี่ปุ่น นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 3.5 ล้านล้านเยนออกมา รวมถึงแนวโน้มที่จะมีการลดภาษี Corporate Tax ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น

ตลาดญี่ปุ่นยังได้รับปัจจัยบวกจากกองทุนบำเหน็จบำนาญรัฐบาลญี่ปุ่น (GPIF) ซึ่งเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้ปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนให้มีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มเพดานสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนในประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม 12% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด เป็น 25% ส่วนผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีจะค่อยลดลงและทำให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่การฟื้นตัวอีกครั้ง โดยบริษัทคาดว่า Earnings Growth ของดัชนี Nikkei จะอยู่ที่ 12.7% ในปีนี้ นับเป็นตลาดที่มีการเติบโตของกำไรสูงในลำดับต้นๆ และคาดเป้าหมาย 12 เดือนข้างหน้าไว้ที่ 18,317 จุด

ประเทศจีน เศรษฐกิจยังขยายตัวในระดับสูงแม้ว่าจะมีทิศทางลดลง โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโต 7.1% ในปี 2558 และ 6.8% ใน2559 ทั้งนี้ ถึงแม้การเติบโตจะมีแนวโน้มที่ลดลง แต่ทางการก็ได้มีนโยบายผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อช่วยรองรับผลกระทบในทางลบ โดยธนาคารกลางจีนได้ลดอัตราดอกเบี้ยลง รวมถึงการอัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ โดยมีแนวโน้มที่รัฐบาลจีนจะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่องเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตและรักษาระดับการจ้างงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ปีที่ผ่านมาการลงทุนในตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยให้ผลตอบแทน 52.87% มากที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก แต่มูลค่าของตลาดยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบในภูมิภาค โดยคาดว่าในปีนี้ดัชนี Shanghai SE Composite จะมีอัตราการเติบโตอยู่ ที่ 12.2% อย่างไรก็ตาม ดัชนีได้มีการปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างสูง จึงต้องเน้นการจับจังหวะการลงทุนเป็นหลัก

ฮ่องกง มีความเสี่ยงที่เงินทุนจะไหลออกจากตลาดค่อนข้างสูงจากการที่ค่าเงิน HKD นั้นผูกติดอยู่กับ USD ทำให้ในช่วงที่เฟดดำเนินนโยบาย QE ก็มีเงินไหลเข้ามาในฮ่องกงค่อนข้างมากเช่นกัน ช่วยผลักดันราคาสินทรัพย์ทั้งอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ทางการเงินขึ้น แต่เมื่อเฟดมีแนวโน้มจะยกเลิก QE ฮ่องกงก็มีแนวโน้มที่จะได้ผลกระทบตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ฮ่องกงยังได้รับอานิสสงค์จากการฟื้นตัวของประเทศจีน ทั้งจากด้านการค้า การลงทุน ธุรกิจการเงิน และภาคการท่องเที่ยว และการควบคุมดูแลที่ดีทำให้ภาคการธนาคารมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีซึ่งน่าจะทนต่อความผันผวนต่อกระแสเงินทุนได้ บริษัทจดทะเบียนน่าจะมีกำไรเติบโตประมาณ 10.2% ในขณะที่มูลค่าหุ้นค่อนข้างถูกเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต โดยคาดเป้าหมายดัชนี Hang Seng ใน 12 เดือนข้างหน้าไว้ที่ 26,787 จุด หรือเติบโตประมาณ 12.3%

ส่วนเกาหลีใต้ การส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลกจะเป็นปัจจัยหลักในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ในขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มีการประกาศมาตรการทางด้านการคลังมูลค่าราว 41 ล้านล้านวอน หรือคิดเป็นประมาณ 3% ของ GDP เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และธนาคารกลางเกาหลีใต้ ยังมีแนวโน้มใช้มาตรการการเงินเพิ่มเติม เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วย โดยคาดเป้าหมายดัชนีปีนี้ ไว้ที่ 2,418 จุด หรือเติบโตขึ้นประมาณ 20.2%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ