เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา บริษัทได้ออกกองทุน T-Property เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เรามองว่าจะมีโอกาสขยายตัวมาก นอกจากนี้ เรายังมีแผนจะออกกองทุนต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก จากปัจจัยทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้น และสภาพคล่องในระบบที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยโลกที่ยังมีแนวโน้มว่าจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะ
นายบุญชัย กล่าวว่า ปีนี้คาดว่า AUM จะเติบโตราว 21% โดยการเติบโตหลักๆ ยังมาจากการตั้งกองทุนรวมใหม่ ซึ่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเติบโตแล้ว 2.6% รองลงมาเป็นกองทุนส่วนบุคคล เติบโต 0.8% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโต 2.6% ทำให้ภาพรวม 2 เดือนแรกของปีนี้ AUM เติบโตไปแล้ว 2.6% และมองว่าโอกาสของกองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในหุ้นยังมีความน่าสนใจ แม้ตลาดหุ้นจะผันผวนสูงก็ตาม เนื่องจากคาดวื่าอัตราดอกเบี้ยจะยังอยู่ระดับต่ำอีกระยะหนึ่ง ดังนั้น ตลาดทุนจึงน่าจะยังสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า
"เราจะโฟกัสทั้งกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทยและกองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งตั้งแต้ต้นปีได้ออกกองทุนหุ้นไทยแล้ว 3 กอง หุ้นสหรัฐ 1 กอง หุ้นญี่ปุ่น 1 กอง จากนี้ไปก็จะออกกองทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้นเพราะนักลงทุนของเราส่วนใหญ่ตอนนี้สนใจหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากมองว่าการขยายตัวของเศรษฐไทยปีนี้ที่ 3.5% ขณะที่บางประเทศโตมากกว่า และหุ้นในสหรัฐ ญี่ปุ่น ยุโรป ตอนนี้น่าสนใจเพราะได้รับประโยชน์จาก QE ยุโรปและญี่ปุ่นมากกว่าหุ้นไทย ทำให้นักลงทุนต้องการลงทุนหุ้นประเทศเหล่านี้เพื่อกระจายความเสี่ยง ขณะที่หุ้นไทยผันผวนมากกว่า"นายบุญชัย กล่าวนอกจากนั้น บริษัทจะการออกกองทุนตราสารทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย โดยขึ้นกับโอกาสและจังหวะเวลาในการออก แต่ก็คาดว่าจะดำเนินการได้อย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้นมองว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ฉะนั้น แนวทางการลงทุนจึงต้องปรับพอร์ตให้ active มากขึ้น และเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐานดีที่มีทิศทางเติบโตและมีปันผลสูง ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ AUM เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่นายโชติช่วง ธีรขจรโชติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ธนชาต กล่าวว่า มองกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)ปีนี้ในกรอบ 1,380-1,650 จุด โดยคาดว่าจะเห็นขึ้นไปแตะ 1,650 จุดในช่วงปลายปี แลคาดว่าตลาดฯ จะซื้อขายที่ค่า PE ปี 59 ที่ 14-15 เท่าจากปัจจัยเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ภายใต้คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ในปีนี้จะเติบโต 3.5% ผลกำไรบริษัทจดทะเบียน(EPS growth) ที่ 12-15%
ส่วนระยะสั้นที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลงเพราะเศรษฐกิจและกำไร บจ.ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง จึงปรับความคาดหวังลงมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนให้ตลาดเร่งตัวในระยะสั้นทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ช่วงระยะสั้นถึงกลางปีนี้ดัชนีจะแกว่งตัวออกด้านข้างมากกว่า มองในกรอบ 1,450-1,580 จุด
"ปัจจัยเสี่ยงในประเทศเรื่องทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐจะเป็นตามที่คาดหรือเปล่าเพราะล่าสุดตัวเลขที่ออกมาก็ทำให้นักลงทุนผิดหวังบ้างจึงกดดันให้ตลาดหุ้นอ่อนตัวลงมา ยังดีที่มีตัวช่วยราคาน้ำมันที่ปรับลงทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการลดลงและผลกำไรบริษัทจะดีขึ้น ดอกเบี้ยยังต่ำเอื้อต่อการลงทุน การไฟแนนซ์เงินของกิจการก็ถูกลง จึงมองว่าหุ้นไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง หลังการขยายตัวของเศรษฐกิจเห็นชัดเจนขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดีตามที่คาดหวัง"นายโชติช่วง กล่าวกลุ่มที่แนะนำลงทุน ได้แก่ กลุ่มมีเดียที่มีการปรับโครงสร้างระยะยาวของอุตสาหกรรม คือการเข้าสู่ยุคดิจิตอลทีวี กลุ่มสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับประมูล 4G กลุ่มนาโนไฟแนนซ์ กลุ่มสายการบิน รับผลดีราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนหลักลดลงไปถึงครึ่งหนึ่ง และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง