โบรกฯ มองดัชนี SET ครึ่งปีหลังแกว่งในกรอบ 1,400-1,500 ปรับลดคาดการณ์กำไรบจ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 21, 2015 17:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุวัฒน์ สินสาฏก รองหัวหน้าวิเคราะห์กลุ่มสถาบัน นักวิเคราะห์อาวุโส ฝ่ายพลังงานและปิโตรเคมี บล.ซีไอเอ็มบี ซิเคียวริตี้ส์ (ประเทศไทย) กล่าวในการเสวนา"พิชิตหุ้นขาลงกับหุ้นกู้ TPIPL"ว่า บริษัทประเมินดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย(SET Index)ในช่วงต่อจากนี้จนถึงสิ้นปี 58 จะแกว่งตัวผันผวนอยู่ในกรอบ โดยให้แนวรับที่ 1,400 จุด และแนวต้านที่ 1,500 จุด

ขณะที่ปัจจัยรอบด้านยังคงกดดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศต่างๆที่ออกมาได้ไม่ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ ทำให้มีผลกระทบต่อหุ้น เช่น หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ,กลุ่มสายการบิน และธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น ทั้งนี้ บล.ซีไอเอ็มบีฯ ได้ปรับลดอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ลงมาเหลือเติบโตราว 13-14% จากเดิมคาดไว้ที่ 16-17%

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังมีความหวังต่อการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐในการลงทุนด้านโครงการสร้างพื้นฐานในช่วงไตรมาส 3/58 แต่มองว่าการเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวน่าจะมีความล่าช้า และน่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปี 59 โดยคาดว่าภาครัฐจะมีการเบิกจ่ายในปีนี้ราว 70% ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้

นายสุวัฒน์ เปิดเผยอีกว่า บริษัทยังได้คาดการณ์ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทยในปีนี้อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท โดยแนะนำการลงทุนให้กระจายความเสี่ยง เช่น แบ่งส่วนไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้นในต่างประเทศ ซึ่ง บล.ซีไอเอ็มบีฯ มองโอกาสที่คณะกรรมการนโนบายการเงิน (กนง.)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ และน่าจะส่งผลดีต่อตลาดตราสารหนี้

สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ทางบล.ซีไอเอ็มบีฯ มองว่า หุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี และโรงกลั่น มีความน่าสนใจ ทั้ง IVL,PTTGC ,IRPC ,BPC และ TOP เพราะตลาดยังมีความต้องการ ขณะที่ต้นทุนลดลง โดยผลการดำเนินงานในกลุ่มปิโตรเคมีช่วงไตรมาส 2/58 น่าจะออกมาดีกว่าไตรมาส 1/58 ส่วนกลุ่มโรงกลั่น แม้ว่าไตรมาส 2/58 จะเป็นช่วงโลซีซั่นที่ผลดำเนินงานอาจลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/58 แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะสามารถปรับตัวดีขึ้นได้ แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวน โดยคาดว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 50-60 เหรียญ/บาร์เรล และมีแนวรับอยู่ที่ 43 เหรียญ/บาร์เรล

ขณะที่หุ้น TPIPL ก็ถือว่ามีความน่าสนใจที่จะเข้าลงทุน เนื่องด้วยธุรกิจเริ่มเปลี่ยนจากเดิมที่มีการแกว่งตัวสูง ทำให้มีการรับรู้กำไรที่ไม่แน่นอน มาดำเนินธุรกิจที่มีการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งโรงไฟฟ้าจากขยะ ปูนซีเมนต์ และเม็ดพลาสติก โดยธุรกิจโรงไฟฟ้าใน 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะมีการรับรู้กำไรจากไฟฟ้าเข้ามาจำนวนมาก เนื่องด้วยโรงไฟฟ้าขยะมีมาร์จิ้นต่อเมกะวัตต์สูง

ด้านนายเจษฎา สุขทิศ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) อินฟินิติ จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกต่างจากตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก เพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง และทำสถิติต่ำสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากสถานการณ์เศรษฐกิจยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และการเบิกจ่ายโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯที่มีโอกาสล่าช้าออกไปเป็นปี 59 มากขึ้น

ช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 1,400-1,500 จุด ส่วนกำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะเติบโตได้ราว 10% และอาจจะปรับลดลงได้อีก โดยยังมองว่าหุ้นในกลุ่มบริการด้านการบิน คือ AOT และกลุ่มโรงแรม คือ ERW, MINT และ CENTEL ยังถือว่ามีพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่ง เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มที่ดี ซึ่งได้รับผลดีจากนักท่องเที่ยวจีนที่ยังนิยมเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย

พร้อมกันนี้ แนะนำนักลงทุนควรจัดพอร์ตแบบความเสี่ยงปานกลาง โดยลดสัดส่วนการถือหุ้นไทยลงเหลือ 0% และให้ถือหุ้นในตลาดหุ้นยุโรป สัดส่วน 25% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคามีการปรับฐานลงจากความกังวลเรื่องปัญหาเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซ แต่ล่าสุดได้บรรลุข้อตกลงและสามารถชำระหนี้ได้เรียบร้อยแล้ว และยังมีการเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และตลาดหุ้นญี่ปุ่นสัดส่วน 20% เนื่องจากยังมีการเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และหลังจากที่ค่าเงินเยนอ่อนตัวลงส่งผลดีต่อการส่งออก ทำให้แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มที่จะออกมาดีขึ้น

ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียแนะนำให้ถือครองในสัดส่วน 15% ซึ่งล่าสุดได้มีการเปลี่ยนผู้นำของประเทศทำให้มีการปรับเปลี่ยนระบบชั้นวรรณะให้ลดลง สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ง่ายขึ้น ช่วยให้แนวโน้มเศรษฐกิจก็จะปรับตัวดีขึ้น ในขณะเดียวกันประชากรของอินเดียกำลังเข้าสู่วัยทำงาน ซึ่งประชากรมีศักยภาพที่ดีทั้งด้านภาษา และมีความสามารถด้านเทคโนโลยี IT ทำให้อนาคตเศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มที่จะเติบโตกว่าประเทศจีน ส่วนที่เหลือให้ลงทุนในบริษัทของจีนที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกงสัดส่วน 5% และอีก 35% ให้ลงทุนให้สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อาทิเช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ,ตราสารหนี้ เป็นต้น

"เรามองว่าตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังไม่น่าสนใจสำหรับการเข้าลงทุน เพราะแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปีนี้คงจะไม่ดีนัก เพราะการเบิกจ่ายภาครัฐฯยังมีความล่าช้า เศรษฐกิจก็ยังชะลอตัว แล้วมาเจอเรื่องภัยแล้งด้วย และตลาดหุ้นไทยก็ยังมีโอกาสที่จำทำนิวโลว์ตอ่เนื่องอีก ซึ่งปัจจุบันเราแนะให้ไปลงทุนในต่างประเทศมากกว่า โดยเน้นใน ยุโรป ญี่ปุ่น และอินเดีย ที่มีแนวน้มเติบโตได้ดี และความกังวลด้านต่างๆได้คลี่คลายลงแล้ว"นายเจษฎา กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ