บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ นำไปใช้สร้างศูนย์การแพทย์ประกันสังคมเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่ประกันตนกับ สำนักงานประกันสังคม และจะใช้สร้างสถานพักฟื้นดูแลผู้สูงอายุ เพื่อรองรับกลุ่มผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดเปิดบริการได้ในปี 61 สร้างศูนย์พัฒนาการแพทย์เฉพาะทาง ใช้ลงทุนสร้างโรงพยาบาลลาดพร้าว ลำลูกกา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแห่งใหม่ขนาด 180 เตียง โดยจะเป็นโรงพยาบาลทันสมัยแห่งแรกในแถบพื้นที่ดังกล่าว ที่ชุมชนมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะสามารถให้บริการได้ในปี 62 ใช้ชำระหนี้ระยะยาว และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการเติบโตของรายได้ในปัจจุบัน บริษัทฯมีแผนการเติบโตในระยะยาว โดยมีเป้าหมายในการที่จะหาพันธมิตรเพื่อร่วมดำเนินธุรกิจการให้บริการทางการ แพทย์กับโรงพยาบาลแห่งอื่น หรือการเข้าลงทุนในกิจการโรงพยาบาลเอกชนแห่งอื่น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทฯ ซึ่งจากแผนเติบโตดังกล่าว จะทำให้บริษัทฯมีเป้าหมายในการเติบโตของรายได้ดฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี
“มั่นใจว่าหุ้น LPH จะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนในการเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนหนึ่งเชื่อว่า เป็นผลจากราคาขายไอพีโอที่ 5 บาท เป็นราคาที่น่าสนใจ และในช่วงเปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ชื่อเสียงของโรงพยาบาล ลาดพร้าว นักลงทุนมีความคุ้นเคยและรู้จักกันดีอยู่แล้ว จึงเชื่อว่านักลงทุนจะมีความเข้าใจธุรกิจได้ง่าย และมองเห็นทิศทางการเติบโตในอนาคต จากการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการขยายสาขาและต่อยอด ธุรกิจ รวมทั้งมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ50 ของกำไรสุทธิ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ในผลตอบแทนระยะยาว มั่นใจ หลังเข้าทำการซื้อขาย LPH จะไม่ทำให้ผู้ลงทุนผิดหวัง"นายอังกูร กล่าว
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ของ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) มองว่าหุ้นน้องใหม่ LPH จะเข้าซื้อขายในตลาดหลัก SET ในหมวดธุรกิจการแพทย์ ด้วย Market Cap ที่ 3.75 พันล้านบาท ที่ปรึกษาทางการเงินและรับประกันการจำหน่ายหุ้นคือ KGI ประเมินราคาพื้นฐานเบื้องต้นไว้ที่ 5.60 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E เฉลี่ยปี 59 ของกลุ่มที่ 37.3 เท่า ที่ราคาจองมีส่วนเพิ่มได้ 12% แต่เนื่องจากเป็นหุ้นใหม่และตอนเปิดจองบริษัทเปิดเผยว่ายอดจองซื้อหุ้นเกินกว่า 26 เท่าของยอดที่จัดสรร จึงอาจทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานได้ในระยะสั้น
ก่อนวันซื้อขายเราลองมาสำรวจดูว่าตอนนี้หลักทรัพย์เดิมที่อยู่ในตลาดก่อนหน้าซื้อขายกันไปเท่าใดแล้ว ในมุมมองของ P/E ปี 58 และ 59 เทียบกับ LPH ที่เราประเมินไว้ที่ 38.5 และ 33.0 เท่า ตามลำดับ ก็พบว่าอยู่ในช่วงที่ต่ำ สำหรับปี 58 ของ BDMS, BH, CHG เป็น 38.8, 44.3 และ 48.8 เท่า และปี 59 เป็น 32.9, 38.4 และ 40.7 เท่า ตามลำดับ ดังนั้นก่อนวันซื้อขาย (ยังเหลือวันนี้) กลายเป็นหลักทรัพย์ที่ถูกคือ BDMS และที่แพงคือ BH และ CHG ส่วน LPH ก็น่าสนใจ เพราะที่ราคาจองมี P/E ที่ต่ำสุดเทียบกับกลุ่ม
สำหรับรายละเอียดการจัดสรรหุ้น LPH เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งสิ้น 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.67% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ซึ่งก่อนหน้า IPO บริษัทมีทุนที่ออกจำหน่ายและเรียกชำระแล้ว มีจำนวน 275 ล้านบาท คิดเป็น 550 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หุ้นจำนวน ทั้งนี้ 180 หุ้นได้เสนอขายต่อประชาชน และอีก 20 ล้านหุ้นเสนอขายให้กับกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯที่ราคาเดียวกันกับราคา IPO
ทั้งนี้ กรรมการและผู้บริหารที่จองซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวมีความสมัครใจจะนำหุ้นมาฝากเพื่อห้ามขายทั้งจำนวนเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน