(เพิ่มเติม) TNP เคาะ IPO หุ้นละ 1.75 บาท เปิดจอง 11-13 พ.ย.เทรด 18 พ.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 9, 2015 12:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ธนะพิริยะ (TNP) เคาะราคาขายหุ้น IPO ที่ 1.75 บาท/หุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อระหว่างวันที่ 11-13 พ.ย.ผ่านบล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) และ ผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 4 แห่ง โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาด mai วันที่ 18 พ.ย.นี้ คาดได้เม็ดเงินระดมทุน 350 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ ใช้ขยายสาขาเพิ่ม และชำระคืนเงินกู้บางส่วน ส่วนที่เหลือนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ของ TNP กล่าวว่า ได้กำหนดราคา IPO ที่ 1.75 บาทต่อหุ้น โดยเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.25 บาท คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้

บริษัทจัดสรรหุ้น IPO เสนอขายแก่บุคคลทั่วไปประมาณ 80% และจัดสรรให้ผู้มีอุปการะคุณของบริษัทประมาณ 20% กำหนดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 11-13 พ.ย.58 โดยมีผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายเข้าร่วมอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย บล.ฟินันเซีย ไซรัส ,บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ,บล.ทรีนีตี้ , บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) โดยคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 18 พ.ย.58 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "TNP"

"การกำหนดราคาไอพีโอของ TNP ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีความน่าสนใจ อย่างมาก และมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยกำหนดราคา IPO อยู่ที่ 1.75 บาท คิดเป็น P/E ที่ 21 เท่า มีส่วนลดประมาณ 30% เปรียบเทียบกับราคาเหมาะสมที่บทวิเคราะห์ประเมินไว้ที่ ช่วงราคา 2.20-2.50 บาท ซึ่งคิดเป็น P/E เฉลี่ยที่ 28 เท่า ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงเทรดอยู่ที่ P/E เฉลี่ย 32 เท่า"นายรัฐชัย กล่าว

นายรัฐชัย กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ในครั้งนี้จะทำให้บริษัทเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่ง จากปัจจุบันที่เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ในเชียงรายที่มีจำนวนสาขามากถึง 12 สาขา และมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เชื่อมั่นว่า TNP จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน และจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้ในระยะยาว

ด้านนายธวัชชัย พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ ของ TNP กล่าวว่า เม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ราว 350 ล้านบาท จะนำไปใช้เป็นเงินทุนก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่จำนวน 200 ล้านบาท , นำไปใช้ขยายสาขาเพิ่มจำนวน 45 ล้านบาท , นำไปชำระคืนเงินกู้ 70 ล้านบาท และส่วนที่เหลือนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยเงินกู้ยืมส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น ซึ่งภายหลังการชำระคืนหนี้บางส่วนจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนต่ำกว่า 0.5 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลข ณ 30 มิ.ย.58

ทั้งนี้ ในปี 59 บริษัทจะเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 3 สาขา และตั้งเป้าหมายมีสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเน้นพื้นที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง โดยศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่จะมีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 8,000-10,000 ตารางเมตร ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 3/59 หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ และสามารถรองรับการขยายสาขาได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต

"ธนพิริยะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่มีศักยภาพสูง และคาดว่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากเป็นธุรกิจเข้าใจง่ายและเข้าถึงคนในทุกระดับ อีกทั้ง ธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นในจังหวัดเชียงราย และบริษัทจะได้รับประโยชน์เต็มๆ จากการเปิด AEC เพราะจังหวัดเชียงรายเชื่อมต่อได้ถึง 3 ประเทศ ได้แก่ เมียนมาร์ ลาว และจีนตอนใต้ ซึ่งต้องมีการขยายธุรกิจรองรับการเติบโตในอนาคต"นายธวัชชัย กล่าว

ด้านเภสัชกรหญิงอมร พุฒิพิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ ของ TNP กล่าวว่า หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในจังหวัดเชียงรายเป็นหลัก เพื่อสร้างฐานลูกค้าและแบรนด์ของ “ธนพิริยะ" ให้แข็งแกร่ง ก่อนที่จะขยายวงกว้างไปสู่อำเภอรอบนอกและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่สำคัญจากการ เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในช่วงต่อจากนี้ จะเป็นส่วนผลักดันการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายให้เติบโตมากยิ่งขึ้น รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของการค้าตามแนวเขตชายแดน ซึ่งน่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย เติบโตตามลำดับ

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขับเคลื่อนของการเปิดสาขาในอนาคต และการบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพ โดยรายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 55-57) บริษัทมีการเติบโตเฉลี่ย 12.9% และเชื่อมั่นว่าในปีนี้บริษัทจะมีรายได้เติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องอีก

สำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของปี 58 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 633.6 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 14.8 ล้านบาท ส่วนปี 57 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,201.7 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 45.4 ล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ