AH คาดปี 59 รายได้โต 5-10% ตามอุตฯยานยนต์-ลงทุนเครื่องจักร 400-500 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 9, 2015 13:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวเย็บ ซิน หรู ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.อาปิโก ไฮเทค (AH) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 59 จะเติบโตราว 5-10% จากปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามอุตสาหกรรมยานยนต์ที่น่าจะเติบโตได้ 5-10% จากยอดการผลิตรถยนต์ของไทยในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1.95 ล้านคัน เนื่องจากคาดว่าการส่งออกรถยนต์ในปีหน้าจะดีขึ้น เพราะฐานการผลิตส่วนใหญ่อยู่ในเมืองไทย ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยก็น่าจะดีขึ้นกว่าปีนี้ รวมถึงค่ายรถยนต์ขนาดใหญ่ อย่างฮอนด้า โตโยต้า และฟอร์ด น่าจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนในปีหน้าจำนวน 400-500 ล้านบาท ใช้ลงทุนในเครื่องจักร รองรับกำลังการผลิตรถยนต์ทั้งระบบที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.2 ล้านคัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3 ล้านคันในปี 63 ซึ่งจะส่งผลทำให้รายได้จะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 3 หมื่นล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น ในส่วนของตัวแทนจำหน่ายอยู่ที่ 5-6% และโรงงาน 13% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 10%

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศ ทั้งในประเทศอินเดียและบริษัทในยุโรป เพื่อขยายตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังประเทศดังกล่าว เนื่องจากอินเดียเป็นตลาดที่เติบโตมาก และค่ายรถยนต์ในอินเดียก็มีค่อนข้างมาก และที่สำคัญมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถสรุปดีลได้ ซึ่งรอดูจังหวะการฟื้นตัวของภาพรวมตลาดก่อน ปัจจุบันบริษัทได้ขยายตลาดไปในประเทศ ไทย จีน มาเลเซีย และสิงค์โปร์ แล้ว

"ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ ปี 59 เรามองว่าน่าจะดีกว่าปีนี้ หรือจะเติบโตได้ 5-10% โดย AH ก็ค่อนข้างเป็นไปตามการเติบโตของอุตสาหกรรมฯ ซึ่งเชื่อว่าค่ายรถยนต์ เช่น ฮอนด้า โตโยต้า และฟอร์ด จะมีการออกรถรุ่นใหม่มาเรื่อยๆ ทำให้เราก็จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย อย่างไรก็ตามเราวางงบลงทุนเครื่องจักร เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้น" นางสาวเย็บ ซิน หรู กล่าว

นางสาวเย็บ ซิน หรู กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทคาดว่ารายได้จะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 1.5 หมื่นล้านบาท จากอุตสาหกรรมยานยนต์ และเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว และมองแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/58 จะลดลงกว่าไตรมาส 3/58 เนื่องด้วยมีวันหยุดทำการค่อนข้างมาก ขณะที่กำไรสุทธิจะดีกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ 366.96 ล้านบาท หลังดำเนินการลดต้นทุน และมาร์จิ้นของสินค้าเพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ