PJW ศึกษาลงทุนตั้งรง.ในอินโดฯหรือเวียดนาม พร้อมหาพันธมิตร คาดเริ่มลงทุนได้ปี 61

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 22, 2016 13:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ปัญจวัฒนาพลาสติก (PJW) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและหาพันธมิตรเพื่อลงทุนก่อสร้างโรงงานในประเทศอินโดนีเซียหรือเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ในปี 61 เพื่อขยายฐานออกไปในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่ยังมีความต้องการใช้เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ต่างๆอยู่มาก โดยเฉพาะในอินโดนีเซียที่ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์น้ำมันเครื่องเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะมีจำนวนประชากรที่ใช้รถยนต์อยู่มาก อีกทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีโรงงานในจีน

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 59 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-8% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2.72 พันล้านบาท เป็นผลจากการรับรู้รายได้งานในมือ (Backlog) ของลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์กว่า 100 ล้านบาท ประกอบกับยอดขายในกลุ่มลูกค้า 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มลูกค้าบรรจุภัณฑ์นมและนมเปรี้ยว กลุ่มลูกค้าชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มลูกค้าบรรจุภัณฑ์น้ำมันเครื่อง ก็จะมีการเติบโตขึ้นจากปีก่อน แต่กลุ่มลูกค้าประเภทคอนซูเมอร์โปรดักส์และกลุ่มเคมีการเกษตรอาจจะมียอดขายอาจจะชะลอตัวจากปีก่อนที่เติบโต 15% เนื่องจากปัญหาภัยแล้งและการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว

โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากลุกค้าทั้ง 4 กลุ่ม แบ่งเป็น กลุ่มลุกค้าน้ำมันเครื่องรถยนต์ 50% กลุ่มลุกค้าธุรกิจยานยนต์ 28% กลุ่มลูกค้าคอนซูมเมอร์โปรดักส์และเคมีเกษตร 10% และกลุ่มลุกค้าบรรจุภัณฑ์นมและนมเปรี้ยว 12%

นอกจากนี้โรงงานพ่นสีในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จ.ชลบุรี ยังมีรายได้ในปีนี้อีก 100 ล้านบาท ประกอบกับโรงงานในประเทศจีนที่บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 45-50 ล้านหยวน จากปีก่อนที่ 30 ล้านหยวน เข้ามาสนับสนุนรายได้ในปีนี้ให้เติบโตและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นายวิวรรธน์ กล่าวด้วยว่า บริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 16.2% จากปีก่อนที่ 15.2% ซึ่งเป็นผลมาจากโรงงานพ่นสีในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง เริ่มมีกำไรในทุกไตรมาส จากปีก่อนที่เพิ่งเริ่มมีกำไรในไตรมาส 3/58 อีกทั้งในปีก่อนบริษัทยังปรับขึ้นราคาการผลิตบรรจุภัณฑ์และชิ้นส่วนรถยนต์พลาสติกให้กับลูกค้าบางราย เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนและประสิทธิภาพการผลิต ส่งผลให้มีลูกค้าบางรายที่ให้มาร์จิ้นต่ำเลิกสัญญาไป แต่ไม่กระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งลูกค้าที่ยังมีสัญญาอยู่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ให้มาร์จิ้นดี ซึ่งมีส่วนทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปีนี้ปรับตัวสูงขึ้น

“เราคาดว่าตั้งแต่ปี 61 เมื่อโรงงานพ่นสีของบริษัทเข้าสู่จุดคุ้มทุน โดยมีรายได้ที่ 600 ล้านบาท/ปี นั้น อัตรากำไรขั้นต้นก็จะขยับขึ้นเป็น 18% ได้"นายวิวรรธน์ กล่าว

นายวิวรรธน์ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณางบลงทุนสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อให้มีต้นทุนการผลิตและมีมาร์จิ้นที่สูงขึ้น ซึ่งจะเตรียมนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเร็วนี้ๆ และยังมีงบปกติที่ตั้งไว้ 30 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับลงทุนซื้อเครื่องจักรทดแทนเครื่องจักรเก่าที่ครบกำหนดอายุการใช้งานหรือเสื่อมสภาพ

นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมเข้าประมูลงานอื่นเพิ่มเติมในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งจะมีกลุ่มยานยนต์ในประเทศ 1-2 แบรนด์เตรียมเปิดการประมูลงานในช่วงกลางปีนี้ มูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดหวังจะได้รับงานบางส่วนในการประมูลดังกล่าว อีกทั้งในสัปดาห์หน้าจะมีลูกค้าจีนเข้ามาดูโรงงานผลิตของบริษัทในประเทศจีน ซึ่งลูกค้าดังกล่าวมีความสนใจที่จะให้บริษัทเป็นผู้รับจ้างผลิตบรรจุภัณฑ์สินค้าคอนซูมเมอร์โปรดักส์ แต่ยังติดสัญญากับผู้รับจ้างผลิตรายเดิมอยู่ถึงสิ้นปี 59 แต่บริษัทก็ยังมองว่ามีโอกาสสูงที่จะได้รับงานจากลูกค้าจีนกลุ่มดังกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ