บมจ.นิปปอนแพ็ค (ประเทศไทย) (NPP) คาดว่าผลการดำเนินงานในปี 59 จะพลิกมีกำไรสุทธิ จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 139.26 ล้านบาท ตามรายได้ที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน เป็นผลจากการขยายตัวของรายได้จากทุกธุรกิจในเครือที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้มีการลงทุนจัดโครงสร้างทางธุรกิจต่างๆเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ช่วงต่อจากนี้จะเป็นการรับรู้รายได้และกำไรทั้งจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจอาหาร และธุรกิจสื่อโฆษณา
นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย กรรมการผู้จัดการ NPP กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 59 แตะ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการทำสถิติสูงสุดใหม่ จากปีก่อนมีรายได้ราว 350 ล้านบาท และจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ จากมีผลขาดทุนสุทธิ อยู่ที่ 139.26 ล้านบาท
ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทฯจะมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ราว 50% ธุรกิจอาหาร 40% และที่เหลือเป็นธุรกิจสื่อโฆษณา
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 บริษัทฯคาดว่ารายได้จะดีกว่าไตรมาส 1/58 ที่มีรายได้ 58 ล้านบาท โดยมาจากรายได้จากบรรจุภัณฑ์ แต่ไตรมาส 1/59 บริษัทฯจะรับรู้จากธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะร้าน A&W ส่วนกำไรในไตรมาส 1/59 อาจจะยังไม่เห็นการเติบโต แต่เชื่อว่าตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไปบริษัทฯจะกลับมามีกำไรอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ จากการเข้าซื้อกิจการร้านอาหาร แบรนด์ A&W และร้านอาหารมิยาบิ ทำให้บริษัทฯมีรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น และสามารถกลับมามีกำไรสุทธิได้ โดยปีนี้มีแผนขยายสาขา A&W เพิ่มอีก 7-8 สาขา ซึ่งจะทำให้สิ้นปีจะมีสาขาทั้งสิ้น 30 สาขา จากปัจจุบันมี 23 สาขา โดยใช้งบลงทุนประมาณ 50-60 ล้านบาท ส่วนธุรกิจร้านอาหารมิยาบิ ปีนี้ก็มีแผนเปิดอีก 5 สาขา ซึ่งคาดว่าใช้งบลงทุนประมาณ 50-60 ล้านบาท จากเดิมมีอยู่แล้ว 5 สาขา อย่างไรก็ตามก็อยู่ระหว่างพิจารณานำแบรนด์ร้านอาหารทั้ง 2 แบรนด์ดังกล่าว ไปเปิดที่ในประเทศพม่าและกัมพูชา ซึ่งน่าจะเห็นความชัดเจนในครึ่งปีหลังนี้ รวมถึงประเทศฟิลิปปินส์ ก็มีความสนใจอีกด้วย
ขณะที่ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเข้าซื้อกิจการธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในประเทศเพิ่มอีก 2 แบรนด์ ซึ่งคาดว่าครึ่งปีหลังนี้จะสามารถได้ข้อสรุปได้ คาดใช้งบลงทุนจำนวน 300 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯมีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ 0.1 เท่า ยังมีความสามารถกู้ยืมจากสถาบันการเงินได้อีก และยังมีเงินที่จะได้จากการแปลงวอแรนท์ (NPP-W1) ที่กำหนดในเดือนพ.ค. 59 คาดว่าจะได้รับเงินจำนวน 100 ล้านบาท
พร้อมกันนี้นอกจากแผนการลงทุนในธุรกิจอาหารแล้ว บริษัทฯยังมีแผนลงทุนอีก 100 ล้านบาท ใช้ในส่วนของขยายกำลังการผลิตขวด PET ซึ่งปัจจุบันมีการเดินเครื่องกำลังการผลิตครบ 100% แล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องซื้อเครื่องจักรเข้ามาเพิ่มอีก เพื่อรองรับออเดอร์ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า บริษัทฯยังตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 61 จะเพิ่มขึ้นแตะ 2,000 ล้านบาท และจะสามารถล้างขาดทุนสะสม ที่มีอยู่ราว 168 ล้านบาท โดยจะเป็นการใช้กำไรจากการดำเนินงานมาล้างขาดทุนสะสม ขณะที่จะกลับมาจ่ายเงินปันผลทันที หลังจากมีผลขาดทุนมา 3 ปี ทำให้ต้องหยุดจ่ายปันผลไป ซึ่งมีนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
ประกอบกับบริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษา ธุรกิจน้ำและขนส่งอาหาร เนื่องจากเล็งเห็นว่าจะสามารถลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ในธุรกิจอาหาร แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะชัดเจนได้เมื่อไหร่