ทั้งนี้ สำหรับผลต่อประเทศไทย จากการคงอัตราดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงการดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก จะส่งผลให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง โดยการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 3 ส.ค. นี้ บลจ.กสิกรไทยคาดว่ากนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังเปิดช่องให้สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมได้ หากเศรษฐกิจในประเทศมีพัฒนาการไปในทิศทางที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
นายชัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก หรือผู้ที่ต้องการแบ่งเงินลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงมาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ บลจ.กสิกรไทยได้เปิดเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทกำหนดอายุโครงการเป็นประจำทุกสัปดาห์เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการล็อกผลตอบแทนที่แน่นอน โดยสามารถเลือกลงทุนเป็นเวลา 3 เดือน หรือ 6 เดือน
ทั้งนี้ สำหรับ กองทุน KFF6MBS ที่มีอายุโครงการ 6 เดือน เบื้องต้นคาดว่าจะเข้าไปลงทุนในเงินฝาก Agricultural Bank of China, เงินฝาก First Gulf Bank, ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตราสารหนี้ Industrial & Commercial Bank of China Ltd., สาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ยังคาดว่าจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศญี่ปุ่น
ด้านกองทุน KFF3MW ที่มีอายุโครงการ 3 เดือน เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation, เงินฝาก Agricultural Bank of China และตราสารหนี้ Industrial & Commercial Bank of China Ltd., สาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ยังคาดว่าจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นเดียวกัน โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ ของบลจ.กสิกรไทย