ก.ล.ต.เผย พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯฉบับใหม่เพิ่มประสิทธิภาพบังคับใช้ กม.คาดมีผลภายในปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 16, 2016 17:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฉบับแก้ไขนี้ได้ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งจะมีผลใช้บังคับภายหลังการนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะบังคับใช้ได้ทันภายในปีนี้

ทั้งนี้ ก.ล.ต.เสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ เพื่อปรับปรุงลักษณะการกระทำความผิด และเพิ่มมาตรการในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น โดยการเสนอแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ที่สำคัญ 2 เรื่อง ได้แก่ 1) การป้องกันการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ (market misconduct) และ 2) มาตรการลงโทษทางแพ่ง (civil penalty)

"การปรับปรุง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ ผ่านการพิจารณาโดยผู้เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน กลั่นกรองให้บทบัญญัติในกฎหมายมีความเหมาะสมในการบังคับใช้ และเท่าทันกับพัฒนาการของการกระทำความผิดในตลาดทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้นนอกจากเรื่อง market misconduct และมาตรการลงโทษทางแพ่งแล้ว ยังมีบทบัญญัติเพิ่มเติมอื่นๆ ที่รองรับการออกหลักทรัพย์ใหม่ ๆ และการออกหลักทรัพย์ของบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาระดมทุนในไทยอีกด้วย"นายศักรินทร์ กล่าว

นายศักรินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการกระทำความผิดในตลาดทุนมีความซับซ้อน โดยกฎหมายที่มีอยู่ยังไม่ครอบคลุมการกระทำความผิดรูปแบบใหม่ ๆ รวมทั้งบทบัญญัติในกฎหมายบางกรณียังไม่ชัดเจน เกิดปัญหาการตีความ จึงอาจไม่เหมาะกับการกระทำความผิดในตลาดทุนที่หลักฐานส่วนใหญ่อยู่กับผู้กระทำความผิด ไม่ทิ้งร่องรอยไว้เหมือนคดีอาญาทั่วไป ทำให้ยากที่จะนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ประกอบกับกระบวนการฟ้องคดีอาญานั้นมีหลายขั้นตอน ใช้เวลานานในการดำเนินคดี

สำหรับการเสนอแก้ไขกฎหมายเรื่องที่ 1 เกี่ยวกับ market misconduct ได้ปรับปรุงลักษณะความผิดให้ชัดเจนขึ้นและครอบคลุมการกระทำความผิดในลักษณะต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มความผิด ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ความผิดเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ลงทุนและตลาดทุน ครอบคลุมการบอกกล่าว หรือเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือที่จะทำให้เข้าใจผิด รวมถึงการวิเคราะห์หรือคาดการณ์ที่ใช้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน ซึ่งจะทำให้ผู้ให้ข้อมูลหรือความเห็นต่อประชาชนต้องใช้ความระมัดระวังและความรับผิดชอบในการกระทำดังกล่าว อย่างไรก็ดี ในการคาดการณ์สามารถทำได้หากตั้งอยู่บนฐานของข้อมูลที่เป็นจริง ไม่บิดเบือน แม้ในภายหลังจะไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ก็ไม่เป็นความผิด

ความผิดในกลุ่มที่ 2 เป็นความผิดเกี่ยวกับการเอาเปรียบผู้ลงทุนรายอื่น โดยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลตนรู้มา กฎหมายที่แก้ไขกำหนดให้บุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ต้องไม่นำข้อมูลไปหาประโยชน์ หรือไปเปิดเผยแก่บุคคลอื่น และผู้รับข้อมูลก็ต้องไม่นำไปหาประโยชน์หรือไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่นต่อๆ ไป โดยกฎหมายจะ สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลวงใน เช่น กรรมการ ผู้บริหาร ที่ซื้อขายหุ้นในช่วงที่มีข้อมูลสำคัญและยังไม่เปิดเผย ถือว่าเป็นผู้ซื้อขายที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน และในกรณีผู้ใกล้ชิดกับบุคคลวงใน เช่น ญาติที่ใกล้ชิด หากมีการซื้อขายที่ผิดปกติในช่วงเวลาดังกล่าว ก็จะถือเป็นผู้ซื้อขายที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในเช่นกัน

นอกจากนี้ กฎหมายยังครอบคลุมถึงบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทจัดการกองทุน รวมทั้งพนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทดังกล่าว ที่นำข้อมูลคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของลูกค้าไปใช้ประโยชน์โดยการซื้อขายหลักทรัพย์ตัดหน้าลูกค้า (front running) หรือเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นซึ่งอาจอาศัยข้อมูลที่ได้มานั้นไปซื้อขายหลักทรัพย์ตัดหน้าลูกค้า จะมีความผิดตามกฎหมาย

นายศักรินทร์ กล่าวว่า สำหรับการให้ข่าวหรือการคาดการณ์อนาคตของผู้บริหาร ยังสามารถทำได้ตามปกติเหมือนเช่นที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามต้องมีข้อมูลในการสนันสนุนความเป็นไปได้ในสิ่งที่คาดการณ์ และต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้พูดไว้แล้ว

"การคาดการณ์ผลประกอบการต่างๆสามารถทำได้ แต่ต้องมีพื้นฐานที่รองรับและสนันสนุน แต่หากเป็นการพูดที่เป็นเท็จดพื่อที่จะสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ ที่เป็นผลกระทบทั้งเชิงลบ และเชิงบวก จะต้องถือว่ามีความผิด แต่หากสิ่งที่พูดเป็นความจริงและมีพื้นฐานหรือปัจจัยรองรับก็สามารถทำได้ไม่เป็นปัญหา"นายศักรินทร์ กล่าว

ขณะที่ความผิดในกลุ่มที่ 3 เป็นความผิดเกี่ยวกับการสร้างราคาหลักทรัพย์ กฎหมายที่แก้ไขแบ่งความผิดเกี่ยวกับการสร้างราคาหลักทรัพย์ออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ 1) การส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ที่ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขาย และ 2) การส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในลักษณะต่อเนื่องจนทำให้ราคา/ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ความผิดกลุ่มนี้มักมีการกระทำร่วมกันเป็นกลุ่ม กฎหมายจึงมีการกำหนดให้การพิสูจน์การกระทำร่วมกันง่ายขึ้น

สำหรับความผิด market misconduct กลุ่มที่ 4 เป็นกฎหมายที่ดูแลความต่อเนื่องและความน่าเชื่อถือของการซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ โดยกำหนดให้การส่งคำสั่งซื้อขายที่อาจจะเป็นเหตุให้ระบบการซื้อขายดังกล่าวสะดุดหรือหยุดชะงักลงเป็นความผิด

นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ยังกำหนดความผิดเกี่ยวกับการใช้หรือยอมให้ใช้บัญชี nominee ที่นำไปใช้ในการกระทำความผิดเป็นความผิด market misconduct ด้วย

นายศักรินทร์ กล่าวว่า การเสนอแก้ไข พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในเรื่องที่ 2 เกี่ยวกับการเพิ่มมาตรการลงโทษทางแพ่ง ซึ่งจะเป็นทางเลือกในการบังคับใช้กฎหมายได้รวดเร็วขึ้น โดยจะต้องเป็นความผิดที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของตลาดทุน ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ การแสดงข้อความเท็จหรือปกปิดข้อความจริงในเอกสารที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน กรรมการหรือผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด (fiduciary duty) การใช้หรือยอมให้ใช้บัญชี nominee ในการทำ market misconduct

โดยเมื่อ ก.ล.ต. เห็นควรใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง จะเสนอคณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบังคับใช้กฎหมาย และด้านตลาดเงินตลาดทุน ได้แก่ อัยการสูงสุด (เป็นประธาน) ปลัดกระทรวงการคลัง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และเลขาธิการ ก.ล.ต.

อย่างไรก็ดี หากผู้กระทำผิดยินยอมและชำระเงินครบถ้วนตามบันทึกการยินยอม คดีจะสิ้นสุดลงทั้งในส่วนมาตรการลงโทษทางแพ่งและทางอาญา แต่หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมชำระเงิน สำนักงานจะดำเนินการฟ้องผู้กระทำความผิดต่อศาลแพ่งต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ