BCP คาด EBITDA ปี 60 ดีกว่าปีนี้ หลังกลั่นน้ำมันเพิ่มหนุนค่าการกลั่นสูง,ลงทุนสำรวจ-ผลิตฯเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 8, 2016 15:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 60 จะดีกว่าปีนี้ จากธุรกิจหลักทั้งโรงกลั่นน้ำมัน ,การตลาด และธุรกิจไฟฟ้าที่ดีขึ้น

โดยในส่วนของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันนั้น บริษัทตั้งเป้าจะกลั่นน้ำมันในปี 60 เพิ่มขึ้นจากปีนี้เป็นไม่น้อยกว่า 1.1 แสนบาร์เรล/วัน เนื่องจากไม่มีกำหนดหยุดซ่อมบำรุงเหมือนในปีนี้ ซึ่งจะช่วยหนุนให้ค่าการกลั่น (GRM) ในปีหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่เบื้องต้นตั้งงบลงทุนในปี 60 ไม่น้อยกว่าปีนี้ เพื่อใช้ขยายงานในทุกธุรกิจ รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ด้วย

"EBITDA ปีหน้าก็น่าจะต้องดีกว่าปีนี้ เพราะปีนี้เรามีปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น 45 วัน ก็เข้าใจว่า EBITDA ก็ยังเดินได้ตามเป้า ปีหน้าเราได้ 45 วันคืนมา performance ก็น่าจะดีกว่าปีนี้ เราตั้งเป้าจะกลั่นไม่น้อยกว่าปีที่แล้วที่ทำได้ 1.1 แสนบาร์เรล/วัน ค่าการกลั่นคงไม่ดีมากแต่ก็น่าจะดีกว่าปีนี้"นายชัยวัฒน์ กล่าว

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับในปี 59 นี้คาดว่า EBITDA จากการดำเนินงานน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ 1.26 หมื่นล้านบาท โดยทั้งปีคาดหวังจะกลั่นน้ำมันเฉลี่ยได้ถึงระดับ 1 แสนบาร์เรล/วัน สูงกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ว่าจะทำได้เพียงกว่า 9 หมื่นบาร์เรล/วัน เพราะหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในช่วงไตรมาสแรก

แต่ในช่วงไตรมาส 4/59 ค่าการกลั่นน้ำมันสูงขึ้นีรับไฮซีซั่น โดยค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ในไตรมาส 4/59 น่าจะอยู่ที่ราว 9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งทำให้บริษัทปรับเพิ่มการกลั่นน้ำมันมากขึ้นในไตรมาสนี้ด้วย

ส่วนในปี 60 นอกจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่จะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นแล้ว ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้าก็จะดีขึ้น จากกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือที่จะทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเพิ่มขึ้น ตลอดจนธุรกิจการตลาดที่ปรับตัวขึ้นตามการขยายงาน ที่คาดว่าจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่องซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้น ตลอดจนการร่วมมือกับซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่แบรนด์ SPAR จากเนเธอร์แลนด์เข้ามาเปิดให้บริการ โดยนำร่องสาขาแรกในสถานีบริการน้ำมันถนนราชพฤกษ์

ขณะเดียวกัน บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาเชิงลึกเพื่อเพิ่มกำลังกลั่นน้ำมันเป็น 1.4 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1.2 แสนบาร์เรล/วัน คาดว่าจะสรุปได้ในต้นปี 60 เพราะต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย มลภาวะ โดยเงินลงทุนที่จะใช้ในการเพิ่มกำลังการกลั่นดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน แต่เบื้องต้นได้รวมไว้ในงบการลงทุน 6 ปี (ปี 58-63) ของกลุ่มบางจากฯ ที่ระดับ 9 หมื่นล้านบาท

"หน่วยกลั่นของเก่าติดตั้งไว้คือ 1.4 แสนบาร์เรล/วัน แต่เราดูอยู่ว่าถ้าเราจะปรับคือทุกอย่างนิ่ง และจะไม่ก่อให้เกิดมลภาวะเพิ่มเติม เป็นเรื่องที่เราศึกษา ใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง...คือมีอุปกรณ์ตัวเดียวที่ได้ 1.4 แสนบาร์เรล แต่ตัวที่ต่อ ๆ เนื่องไปยังทำไม่ได้ ซึ่งเรากำลังศึกษาว่าอะไรเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งต้องทำให้มั่นใจว่าไม่เป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อม ดูว่าคุ้มค่าหรือไม่และมีผลกระทบข้างเคียงอะไรบ้างหรือไม่ เป็นการศึกษาเชิงลึกเพิ่มเติมจากที่ศึกษาเบื้องต้น"นายชัยวัฒน์ กล่าว

นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในปีหน้าบริษัทจะใช้เงินลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มเติม ผ่านการลงทุนใน Nido ซึ่งมีแหล่งผลิตน้ำมันดิบในแหล่ง Galoc ที่ฟิลิปปินส์ โดยล่าสุดได้เพิ่มทุนในบริษัท Nido Petroleum จำกัด เพื่อทำการเจาะหลุมประเมินบริเวณพื้นที่ Mid-Galoc ของแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Galoc คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 25 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อลงทุนในปี 60 และน่าจะมีผลผลิตออกมาจำหน่ายได้ในปี 62

การตัดสินใจลงทุนเพิ่มในแหล่ง Mid-Galoc เนื่องจากผลสำรวจเบื้องต้นเชื่อว่าจะมีปริมาณสำรองน้ำมัน 10-13 ล้านบาร์เรล หากสามารถผลิตน้ำมันดิบจากแหล่งนี้ราว 1 หมื่นบาร์เรล/วัน ก็จะผลิตได้อีกเป็นเวลา 6-7 ปี ก็จะมาทดแทนแหล่ง Galoc ที่เริ่มมีปริมาณสำรองลดลง และคาดว่าจะเริ่มผลิตไม่ถึงจุดคุ้มทุนในปี 62

ทั้งนี้ การผลิตน้ำมันดิบจากแหล่ง Galoc ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ราว 1 ล้านบาร์เรล ลดลงจากระดับ 2 ล้านบาร์เรลในปีที่แล้ว ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยในการผลิตเพิ่มขึ้น และในปี 60 ประเมินว่าการผลิตน้ำมันจะอยู่ที่ราว 8 แสนบาร์เรลเท่านั้น ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10-15% แต่ก็จะมีความเข้มงวดเรื่องค่าใช้เพิ่มขึ้นเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว อย่างไรก็ตามปัจจุบันต้นทุนการผลิตจากปากบ่อของแหล่ง Galoc อยู่ที่ราว 38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ราคาขายน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ทราว 45-46 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้การผลิตน้ำมันจากแหล่งนี้ยังมี EBITDA เป็นบวกและเชื่อว่าจะยังคงเป็นบวกต่อเนื่องถึงในปีหน้าด้วย

นอกจากนี้บริษัทยังมองหาโอกาสการเข้าลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมอื่น ๆ ทั้งแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน โดยเน้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงในไทย เนื่องจากมองว่าความต้องการใช้น้ำมันจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในระยะ 20-30 ปีข้างหน้า ซึ่งเบื้องต้นมองหาการเข้าลงทุนในแหล่งที่มีต้นทุนเฉลี่ยราว 20-25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง

นายชัยวัฒน์ ยังกล่าวถึงการผลิตแร่ลิเทียม จากเหมืองลิเทียมที่บริษัทได้เข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 7% นั้น คาดว่าจะเริ่มพัฒนาแร่ลิเทียมจากเหมืองอาร์เจนตินาได้ในปีปลายปี 61 ซึ่งเบื้องต้นจะผลิตที่ระดับ 25,000 ตัน/ปี ขณะที่ปัจจุบันราคาแร่ลิเทียมสูงถึงมาที่ราว 20,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราว 6 พันเหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่แล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ