ทริสฯ คงเครดิตองค์กร NOBLE ที่ “BBB" พร้อมคงเครดิตหุ้นกู้ที่ “BBB-" แนวโน้ม “Negative"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 9, 2016 16:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB-" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์สินค้าของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางถึงบน ตลอดจนกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของสินค้า และยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวนมากซึ่งช่วยประกันรายได้ในอนาคตของบริษัทได้ส่วนหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสถานะทางการเงินที่อ่อนแอและความเสี่ยงที่บริษัทให้ความสำคัญกับการใช้เงินลงทุนจำนวนมากในโครงการคอนโดมิเนียม Noble Ploenchit ซึ่งมีมูลค่าโครงการสูงถึง 19,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 37% ของมูลค่าของทุกโครงการของบริษัทรวมกัน การใช้เงินลงทุนจำนวนมากในโครงการนี้ทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงจากในอดีต อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายหลังจากการส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ในโครงการ Noble Ploenchit ในปี 2560 แล้วสถานะทางการเงินของบริษัทจะดีขึ้น ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวซึ่งส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคาสูงในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย

ทริสเรทติ้งยังคงแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative" หรือ “ลบ" สำหรับอันดับเครดิตของ NOBLE โดยแนวโน้มสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายและยอดโอนที่ต่ำกว่าเป้าหมาย ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากบริษัทไม่สามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ในโครงการ Noble Ploenchit ได้ตามแผน ซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนเกินกว่าข้อกำหนดทางการเงินในต้นปี 2560

ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตอาจกลับมาเป็น “Stable" หรือ “คงที่" ได้หากผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้นในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับประมาณ 60%-65% ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป ในขณะที่อันดับเครดิตของบริษัทยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นในระยะอันใกล้นี้

NOBLE เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งมีราคาขายตั้งแต่ 120,000 บาทจนถึง 270,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) เป็นหลัก นอกจากนี้ สินค้าที่อยู่อาศัยของบริษัทยังรวมถึงบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และที่ดินจัดสรรด้วย

บริษัทมีการออกแบบที่อยู่อาศัยทุกประเภทอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ณ เดือนกันยายน 2559 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยเหลือขาย 15 โครงการ โดย 90% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ที่เหลือเป็นโครงการบ้านจัดสรร โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งยูนิตที่ก่อสร้างแล้วและที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง) เท่ากับ 18,000 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอการรับรู้รายได้จำนวน 23,000 ล้านบาท โดยประมาณครึ่งหนึ่งมาจากโครงการ Noble Ploenchit

ยอดขายของบริษัทในปี 2558 ลดลง 48% จากปีก่อนเป็น 2,652 ล้านบาท ยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ปรับดีขึ้นเป็น 2,767 ล้านบาท รายได้ในปี 2558 และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ลดลงมากถึง 84% จากปีก่อนและ 35% จากช่วงเดียวกันของปี 2558 ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จและโอนในปี 2558 ถึงครึ่งแรกของปี 2559 ประกอบกับการมีที่อยู่อาศัยที่แล้วเสร็จและส่งมอบให้กับลูกค้าได้น้อยลง ดังนั้น ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2559 จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้จำนวนมากในโครงการ Noble Ploenchit

ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทในปี 2560 จะอยู่ในระดับสูงสุดเนื่องจากยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ของโครงการ Noble Ploenchit มีกำหนดส่งมอบให้แก่ลูกค้าในปีหน้า รายได้ของบริษัทในช่วงปี 2561-2563 คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาทต่อปีโดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่รอการรับรู้รายได้และมูลค่าเหลือขายในโครงการปัจจุบันของบริษัท

อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงเหลือ 36% ของรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 จาก 38%-40% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายลดลงเป็น -114% ในปี 2558 และ -263% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ติดลบเป็นผลมาจากรายได้ที่ต่ำและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูง ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะปรับดีขึ้นอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 20% ของรายได้เมื่อมีการรับรู้รายได้จากยอดขายที่รอการส่งมอบจำนวนมากตั้งแต่ปลายปี 2559 เป็นต้นไป

เงินกู้รวมของบริษัทเท่ากับ 16,923 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2559 เพิ่มขึ้นจาก 14,209 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2558 และ 11,417 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2557 โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเท่ากับ 79% ณ เดือนธันวาคม 2558 และ 83% ณ เดือนมิถุนายน 2559 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนเท่ากับ 3.4 เท่า ณ สิ้นปี 2558 และ 4 เท่า ณ เดือนมิถุนายน 2559 อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้ในการผ่อนปรนข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวในช่วงปี 2558-2559 แล้ว ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะปรับดีขึ้นตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไปเมื่อบริษัทเริ่มส่งมอบโครงการ Noble Ploenchit ดังนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 60%- 65% ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อที่จะรักษาอันดับเครดิตที่ระดับปัจจุบันเอาไว้

เนื่องจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มขึ้น อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจึงลดลง โดยอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ -3.6% ในปี 2558 และ -3% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2559 ลดลงจาก 1.7% ในปี 2557 และ 4% ในปี 2556 สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังคงเพียงพอ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2559 สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 2,700 ล้านบาทและวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีก 3,600 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินจากการผ่อนดาวน์ของลูกค้าอีก 15%-30% ของราคาขายที่อยู่อาศัยด้วย

ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 9,127 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 693 ล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 2,998 ล้านบาท และเงินกู้โครงการระยะยาวจำนวน 5,436 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจะชำระหนี้เงินกู้โครงการดังกล่าวด้วยเงินสดที่ได้รับจากการโอนโครงการ Noble Ploenchit


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ