บล.เอเชีย เวลท์ คาดสัปดาห์นี้ตลาดผันผวนจากปัจจัยตปท.,เม็ดเงินไหลออก ให้กรอบ 1,483-1,518 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 6, 2016 11:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นสัปดาห์นี้น่าจะผันผวน ในกรอบ 1,483-1,518 จุด หลังจากนายกรัฐมนตรี มัตเตโอ เรนซี แห่งอิตาลี ประกาศลาออกหลังการเปิดเผยผลการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ประชาชนอิตาลีส่วนใหญ่ลงมติไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีนี้ทำให้ตลาดมีมุมมองว่าแนวโน้มการเลือกตั้งในยุโรปที่จะมีขึ้นในปีหน้า มีความเป็นไปได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะสนับสนุนนโยบายที่ไม่ต้องการผู้อพยพ ซึ่งจะนำไปสู่กรณีคล้ายกับ Brexit ซึ่งจะกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงในสหภาพยุโรป

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ความกังวลเรื่องเม็ดเงินจะไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่และเอเชียที่ยังคงอยู่ จากแนวโน้มที่ชัดเจนว่า การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 13-14 ธ.ค. ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นแน่ และจะปรับขึ้นต่อเนื่องอีกในปี 2560 หลังจากการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะดำเนินนโยบายขยายตัวทางการคลังอย่างเต็มที่ ซึ่งน่าจะส่งผลให้เงินทุนโลกบางส่วนจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ทั้งหลาย รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย นอกจากนี้ ยังต้องติดตามนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร โดยเฉพาะกับประเทศจีน

ด้านกลยุทธ์การลงทุน หากตลาดหุ้นปรับตัวลงมา ยังเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้น ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และควรเลือกที่ได้ประโยชน์จากนโยบายใหม่ของสหรัฐ

โดยสัปดาห์นี้ Trading Idea แนะนำซื้อหุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เพราะคาดว่า จะได้รับผลบวกจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์เกี่ยวกับเรื่องการว่าจ้างงานในสหรัฐฯ รวมถึงการกีดกันทางการค้า โดยบริษัทของ TU ที่ตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ ได้แก่ Chicken of the Sea, Chicken of the Sea Frozen Foods และ US Pet Nutrition รวมถึง Red Lobster ซึ่ง TU เพิ่งเข้าซื้อกิจการ

มองว่าค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสิ้นปีนี้ไปจนถึงปี 2560 หลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะแข็งค่าต่อเนื่อง ทั้งนี้ TU มีรายได้ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 63% ของรายได้รวมในงวด 9 เดือนแรกปี 59 และเชื่อว่าฐานธุรกิจของ TU ในสหรัฐฯ ที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทย่อยของ TU จะได้ประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ เช่น การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของกิจการในสหรัฐฯ จาก 35% เป็น 15%

อีกทั้ง TU เพิ่งซื้อกิจการ Red Lobster ด้วยเงินลงทุน 575 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมีการอัตราตำแหน่งการจ้างงานในสหรัฐฯ มากขึ้น 50,000 อัตรา จะมีแนวโน้มได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์อีกด้วย

นอกจากนี้ TU ได้เข้าซื้อกิจการในหลายประเทศ ทั้งเยอรมนี แคนาดา และอินเดีย ทำให้ฐานรายได้ขยาย และเป็นการกระจายความเสี่ยงในด้านภูมิศาสตร์อีกด้วย และ TU ได้ขยายสายการผลิตจากเดิมที่เน้นขายปลาทูน่า เป็นปลาซาดีน ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน ทำให้สินค้าไม่กระจุกตัวเพียงอย่างเดียว

ทั้งนี้ มองว่าการเกิดการแพร่ระบาดไข้หวัดนก H5N8 ในยุโรปและเอเชีย และหลายประเทศทั่วโลก จะทำให้พฤติกรรมการบริโภคเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ปีก และหันมาบริโภคอาหารทะเลทดแทนบางส่วนแต่ไม่มากนัก โดยแนะนำให้นักลงทุนปรับลดการลงทุนจากหุ้นกลุ่มไก่ เช่น CPF, GFPT,TFG และ BR และแนะนำหันมาลงทุน TU แทน โดยคาด TU จะมีกำไรสุทธิปี 2559 เติบโต 31% และ 18% ในปี 2560 และแนะนำซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายที่ 25 บาท โดยอิงค่า PER ในปี 2560 ที่ 20 เท่า ซึ่งเป็นระดับ PER ของภาวะอุตสาหกรรม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ