โบรกฯแนะ"ซื้อ"EPG มองกำไรโตดีทั้ง 3 ธุรกิจหลัก-น้ำมันขึ้นไม่กระทบมาร์จิ้น,รับอานิสงส์บาทอ่อน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 27, 2016 15:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) หลังมองกำไรเติบโตดี ทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ฉนวนยางกันความร้อนและเย็น ซึ่งมีคุณสมบัติเหนือกว่าคู่แข่ง, ชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์หลัก และการฟื้นตัวของกิจการ TJM ในออสเตรเลีย ซึ่งจะเป็น Key growth ในปี 59-61 ขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ที่มีการขยายโรงงานเฟส 2 และรุกตลาดล่างจะช่วยหนุนศักภาพในการเติบโตด้วย

นอกจากนี้ EPG เป็นผู้นำใน 3 ธุรกิจหลักดังกล่าวจากการคิดค้นนวัตกรรม สร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าส่วนเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นผู้ประกอบการที่มีธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำช่วง โดยผลการดำเนินงานช่วงครี่งหลังของปี 59/60 ยังจะเติบโตดีจากขยายตลาดต่างประเทศ และรับอานิสงส์บาทอ่อนค่า ถึงแม้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นในปัจจุบันแต่ก็ไม่ได้กระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบที่เป็นพลาสติกมากนัก โดยยังคงได้มาร์จิ้นในระดับสูง

ราคาหุ้น EPG พักเที่ยงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 12.70 บาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 0.09%

           โนมูระ พัฒนสิน                 ซื้อ                       18.30
           เออีซี                        ซื้อ                       17.50
           เอเชีย เวลท์                  ซื้อ                       16.00
           ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ              ซื้อ                       17.00
           ฟินันเซีย ไซรัส                 ซื้อ                       16.00
          นายณพัฒน์ ศรีวรพงษ์พันธ์ นักวิเคราะหลักทรัพย์ บล.เออีซี คาดว่า ปี 59/60  (เม.ย.59-มี.ค.60) EPG จะมีกำไรปกติโต 32.9% และเติบโตต่อ 19.2% ในปี 60/61 จากความสามารถในการขยายตลาดในต่างประเทศของธุรกิจฉนวนยางและธุรกิจยานยนต์ ซึ่งยอดขายธุรกิจยานยนต์มีแนวโน้มโตโดดเด่น และยอดขายธุรกิจฉนวนยางได้แรงหนุนจากแผนขยายตลาดต่างประเทศและบาทอ่อน ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์คาดผลดำเนินงานดีขึ้นหลังเริ่มเปิดใช้โรงงาน EPP Phase 2 ทำให้มี Upside เพิ่ม
          "ความสามารถในการทำกำไรยังดีอยู่ ถึงแม้ช่วงนี้ราคาหุ้นถูกกดดันด้วยราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ทำให้ความน่าสนใจการลงทุนหายไป แต่มองว่าถ้าราคาน้ำมันดิบไม่ได้พุ่งสูงถึงระดับ 60 เหรียญฯต่อบาร์เรล ก็ไม่น่าจะกระทบกับความสามารถในการทำกำไรมาก ช่วงนี้เป็นโอกาสสะสมหุ้นเพื่อลงทุน ยังคงแนะนำซื้อ ผู้บริหารก็บอกว่ายัง maintain  ถึงแม้ราคาน้ำมันขึ้นกระทบในแง่มาร์จิ้นอาจไม่ดีเหมือนปี 58 ที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบที่เป็นพลาสติกลดลงไปด้วย แต่ปีนี้ก็ไม่ได้กระทบมาก ยังได้มาร์จิ้นสูงอยู่"นายณพัฒน์ กล่าว
          นายชัยพัชร ธนวัฒนโน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ของ EPG มีการขยายตัวและทำกำไรได้มากขึ้น โดยกำไรขั้นต้นปรับขึ้น เพราะสัดส่วนสินค้าที่เป็นพรีเมียมสูงขึ้น ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นชิ้นส่วนยานยนต์ยังคงเดินหน้าต่อ โดยเป็นการพัฒนาร่วมกันกับผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ในสหรัฐและญี่ปุ่น รวมทั้งยอดขายในออสเตรเลียที่สูงขึ้นผ่านทางบริษัท TJM Producr PTY Ltd (TJM) ซึ่งทำธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับรถยนต์ 4WD โดยคาดว่ารายได้จากชิ้นส่วนยานยนต์จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโต (Key growth) ในช่วงปี 59-61
          รายได้ส่วนผลิตภัณฑ์ฉนวนยาง ในต่างประเทศแม้ทรงตัว แต่อัตรากำไรขั้นต้นยังบริหารให้อยู่ในระดับสูงที่ 41.4% ได้ ซึ่งเป็นมาร์จิ้นที่ดีที่สุดในทุกธุรกิจ แต่ก็อ่อนลงจาก 46.8% ในงวดเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้อุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัวกระทบยอดขายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ให้ลดลง แต่การเปิดโรงงานใหม่ที่มีเครื่องจักรประสิทธิภาพสูงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น
          แนวโน้มกำไรในไตรมาส 3 ของปี 59/60 สิ้นสุดเดือนธ.ค.59 คาดว่าจะอ่อนลงจากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาล แต่จะกลับไปฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 ของปี 59/60 สิ้นสุดมี.ค.60 เพราะเป็นช่วงที่ยอดขายดีสำหรับ 3 ธุรกิจหลัก รวมทั้งการก่อสร้างก็มีแนวโน้มคึกคักขึ้นด้วย ยอดขายบรรจุภัณฑ์ยังคงมีคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่งและการสร้างโรงงานใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วย ส่วนยอดสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์ยังคงเติบโตดี โดยคาดว่าจะมีคำสั่งซื้อในผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้พัฒนาร่วมกับผู้ผลิตรายใหญ่
          นอกจากนี้ การที่ EPG พัฒนากระบวนการผลิตเพื่อจะขยายเข้าสู่ตลาดอาเซียน และ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง ก็จะเป็น Key growth ในระยะยาวได้ สายการผลิตที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ EPG มีต้นทุนที่ต่ำลงและแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น โดย EPG มีเป้าหมายสร้างโรงงานในอาเซียนช่วงปี 61-62 ซึ่งจะเริ่มจากโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ก่อน
          "กำไรโตต่อเนื่องทั้ง 3 ธุรกิจหลัก ปี 60 แนวโน้มยังดีโดยเฉพาะยอดขายชิ้นส่วนยานยนต์ผ่าน Aeroklas จะเติบโตมากสุด มีออเดอร์ต่อเนื่องจากค่ายรถยนต์รายใหญ่ จึงมั่นใจกำไรยังทรงตัวสูงได้"นายชัยพัชร กล่าว
          บล.เอเชีย เวลท์ ระบุว่า EPG ยังคงเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจในธุรกิจหลักทั้ง 3 กลุ่ม สนับสนุนจากนวัตกรรมที่โดดเด่น สำหรับธุรกิจฉนวนยางนั้น มองตลาดในต่างประเทศจะยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากการขยายตัวของตลาดในอาเซียนและญี่ปุ่นด้วยสินค้าที่เป็นที่ยอมรับมากขึ้นจากลูกค้า
          พร้อมกันนี้ยังได้ศึกษาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณลักษณะใหม่ ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ฉนวนยางกันไฟไหม้ ซึ่งเป็นที่ต้องการมากสำหรับการผลิตสายไฟซึ่งต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแต่ให้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงถึง 50% เชื่อว่ากิจกรรมและการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาจะยังคงช่วยให้ EPG ดำเนินการตามเป้า
          สำหรับธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์มีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งกำลังปรับปรุงขั้นตอนการผลิตเพื่อปรับปรุงความสามารถในการทำกำไร ซึ่งคาดว่าจะมีความสำเร็จเช่นเดียวกับสายการผลิตที่ดีขึ้นของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ซึ่งลดการใช้พลังงานลง 20-30%
          ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก มีปัจจัยเร่งที่สำคัญน่าจะมาจากสายการผลิตที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นจากการดำเนินการเดินเครื่องเฟส 2 ซึ่งเดินเครื่องผลิตในปลายเดือนพ.ย.จะช่วยสนับสนุน EPG ในการทำกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุกเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคเอเชีย ในขณะที่คงความสามารถในการทำกำไรในระดับสูงได้ คาดว่า EPG จะมีการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งในระดับ 20% ต่อปี
          เอเชีย เวลท์ มองว่า EPG มีอนาคตที่สดใส โดยแนวโน้มการเติบโตของกำไรน่าจะดำเนินต่อไปเนื่องจากสิทธิบัตรที่มีอยู่ในมือ บวกกับนวัตกรรมที่เพิ่มเติมจากการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา และการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเจรจาควบรวมกิจการที่มีความเป็นไปได้ในอนาคตหนุนจากสถานะทางการเงินที่มีความพร้อม ประมาณการการเติบโตของกำไรปกติในปีนี้ที่ 21% และในปีหน้าที่ 20%
          ขณะที่ราคาหุ้นในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเนื่องจากซื้อขายที่ PER ของปีหน้าที่ประมาณ 20 เท่า ซึ่งสูงกว่า PER ของกลุ่มวัสดุก่อสร้างเพียงเล็กน้อยที่ 17 เท่า แต่ EPG สามารถสร้าง ROE ที่เหนือกว่าและมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่โดดเด่นกว่าภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำจากสิทธิบัตรที่มีอยู่ในมือ การควบรวมกิจการซึ่งมีความเป็นไปได้ในอนาคตถือเป็น Upside ที่จะรวมไว้ในประมาณการ
          บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า EPG นับเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมใน 3 ธุรกิจหลักและเติบโตจากธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน จะเติบโตจากการชิงส่วนแบ่งการตลาดฉนวนยางแบบดั้งเดิม ธุรกิจผลิตชิ้นส่วน/อุปกรณ์ตกต่างรถยนต์ จะเติบโตสูงจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในบันไดข้างและหลังคารถกระบะ การขยายตลาดผ่าน TJM ช่วยให้ธุรกิจดังกล่าวมีช่องทางจำหน่ายเป็นของตนเองและมีโอกาสเติบโตในออสเตรเลีย
          ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกของ EPP จะเติบโตจากการขยายกำลังการผลิตและการขยายตลาดใน segment ล่าง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) สูงราว 32-33% จากการใช้นวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่ม ,การพัฒนาและร่วมออกแบบผลิตภัณฑ์กับลูกค้า (ODM) และการมีช่องทางจำหน่ายของตนเอง คาดกำไรปกติ 2 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ยปีละ 23%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ