(เพิ่มเติม) "ซิก้า อินโนเวชั่น"ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 80 ล้านหุ้นเข้า mai ใช้ลงทุนสร้าง รง.-ซื้อเครื่องจักรใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 29, 2017 16:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ซิก้า อินโนเวชั่น ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 29 มี.ค.60 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น และขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ ซิก้า อินโนเวชั่น ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กโครงสร้างประเภท Pre-zinc และท่อเหล็กร้อยสายไฟ โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อซื้อที่ดิน สร้างโรงงาน และซื้อเครื่องจักรใหม่ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

สำหรับโครงการในอนาคต ได้แก่ โครงการหาสถานที่เก็บสินค้าสำเร็จรูปและสถานที่ก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่เพื่อขยายพื้นที่และเพิ่มกำลังการผลิตรองรับการเติบโต เนื่องจากปัจจุบันมีพื้นที่ไม่เพียงพอในการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปและเพิ่มเครื่องจักรในอนาคต ซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะมีมูลค่ารวมประมาณ 385 ล้านบาท

บริษัทมีแผนซื้อที่ดินและอาคารในบริเวณใกล้เคียงกับโรงงานปัจจุบัน เนื้อที่รวม 1 ไร่ 98.4 ตารางวา มูลค่าประมาณ 23 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนหมุนเวียน ในส่วนของการปรับปรุงอาคารและระบบสาธารณูปโภค รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ภายในโรงงานนั้น คาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 12 ล้านบาท รวมทั้งหมดประมาณ 35 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูป

และมีแผนจะซื้อที่ดินสำหรับสร้างโรงงานและติดตั้งเครื่องจักรใหม่ เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนซื้อเครื่องตัดม้วนเหล็ก จากเดิมต้องว่าจ้างบริษัทภายนอกดำเนินการให้ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและสามารถบริหารจัดการการตัดม้วนเหล็กเองได้ รวมทั้งซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มสายการผลิตท่อเหล็กเพิ่ม เพราะปัจจุบันผลิตเกือบเต็มกำลังแล้ว บริษัทจะวางสายการผลิตท่อเหล็กเพิ่มขึ้นอีก 1 สายการผลิต เป็นการลงทุนในเครื่องขึ้นรูปเหล็ก เครื่องลบคมและเครื่องทำเกลียว อีกทั้งจะใช้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่บริหารจัดการม้วนเหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก เบื้องต้นคาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 350 ล้านบาท

ผลประกอบการในช่วงปี 57-59 บริษัทมีรายได้จากการขายเติบโตต่อเนื่อง โดยเติบโต 53.71 ในปี 58 และ 35.26% ในปี 59 ซึ่งเป็นไปตามปริมาณการขายสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 12,196 ตัน ในปี 57 เป็น 24,783 ตันในปี 58 และเพิ่มเป็น 33,074 ตัน ในปี 59 เป็นผลจากการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 25,714 ตันในปี 57 มาเป็น 45,346 ตันในปี 59 และการเพิ่มรอบการเดินเครื่องจักรที่มีอยู่เดิมจาก 10.5 ชั่วโมงในไตรมาส 4/58 และในปี 59 เป็นวันละ 21 ชั่วโมง

ในส่วนของกำไรสุทธิปี 57 อยู่ที่ 17.31 ล้านบาท, ปี 58 เพิ่มเป็น 68.60 ล้านบาท และในปี 59 ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 226.13 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 3.89%, 9.95% และ 24.01% ตามลำดับ เนื่องจากจากการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น และเป็นผลมาจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและค่าใช้จ่ายในการบริหารผ่านการวิเคราะห์ประมวลผลของระบบ ERP ส่งผลให้มีการมีการสูญเสียลดลง ประกอบกับต้นทุนทางการเงินเมื่อเปรียบเทียบกับรายได้รวมมีแนวโน้มลดลง

ณ สิ้นปี 59 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 626.44 ล้านบาท หนี้สินรวม 311.10 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 315.34 ล้านบาท

บริษัทมีทุนจดทะเบียน ณ วันที่ 28 ก.พ.60 เท่ากับ 260 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 220 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญ 440 ล้านหุ้น และภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ ซึ่งคิดเป็น 15.38% ของทุนจดทะเบียนของบริษัท จะทำให้บริษัทมีทุนชำระแล้วรวม 260 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนหุ้นสามัญทั้งสิ้น 520 ล้านหุ้น

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ อันดับแรก เป็นกลุ่มครอบครัวผู้บริหารในตระกูลงามจิตรเจริญ และบริษัท ดีงาม โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นรวมกัน 375,222,221 หุ้น คิดเป็น 85.29% หลังขาย IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 72.16% รองลงมา คือ นางเล็ก ตรีมุทธาพงศ์ ถือหุ้น 20,728,889 หุ้น คิดเป็น 4.71% จะลดสัดส่วนหุ้นเหลือ 3.99% และนางสาววิภาภรณ์ ตรีมุทธาพงศ์ ถือหุ้น 15,546,667 หุ้น คิดเป็น 3.53% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 2.99%

บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะของบริษัทหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองต่างๆ ทั้งหมด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ