(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งตัวลง กังวลทิศทางลงทุนต่างชาติ,ราคาน้ำมันปรับขึ้นแค่ช่วยประคองตลาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday May 12, 2017 09:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้จะแกว่งตัวลง หลังจากตลาดหุ้นต่าง ๆ รับรู้ประด็นบวกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสไปแล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และไทย ต่างปรับตัวลง จากความกังวลทิศทาง Fund Flow ที่ยังไม่นิ่ง แม้เมื่อวานนี้จะมีแรงซื้อสุทธิเข้ามาในตลาดหุ้นไทย แต่ในตลาดอนุพันธ์ก็ทำ short กว่า 9 พันสัญญา

นอกจากนี้ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถูกกดจากแรงขายหุ้นในกลุ่ม Commodity ซึ่งรวมถึงน้ำมันและถ่านหินด้วย รวมถึงกรณีที่บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ถูกฟ้องร้องเป็นคดี อย่างไรก็ตามการที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมาก็เชื่อว่าน่าจะทำได้แค่ประคองภาพรวมตลาดเท่านั้น

พร้อมให้แนวรับ 1,545 และ 1,538 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,558 และ 1,564 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 พ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,919.42 จุด ลดลง 23.69 จุด (-0.11%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,115.96 จุด ลดลง 13.18 จุด (-0.22%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,394.44 จุด ลดลง 5.19 จุด (-0.22%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 19.91 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 7.39 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 0.93 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 19.71 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.31 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 3.14 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.54 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 พ.ค.60) 1,550.27 จุด ลดลง 10.04 จุด (-0.64%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,430.22 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 พ.ค.60
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (11 พ.ค.60) ปิดที่ 47.83 ดอลลาร์/บาร์เรล ปรับขึ้น 50 เซนต์ หรือ 1.1%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 พ.ค.60) ที่ 6.32 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 34.69/75 แกว่งแคบหลังดอลล์อ่อนตลาดกังวลการเมืองสหรัฐฯ หลังทรัมป์ปลดผอ. FBI
  • รมว.คลัง วอนแบงก์พาณิชย์ปรับลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างผู้ประกอบการรายย่อย-รายใหญ่ เพื่อลดต้นทุนทางการเงินให้รายย่อยสามารถแข่งขันได้ ด้านแบงก์ชาติ เตรียมแถลงมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างครบวงจร 17 พ.ค.นี้ หลังหนี้ครัวเรือนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ ด้านกสิกรไทยตอบรับนโยบายคลังลดส่วนต่างดอกเบี้ยธุรกิจรายใหญ่-เอสเอ็มอี แต่ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหตุกระทบรายได้แบงก์-ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น
  • สสว.ได้จัดสรรงบประมาณ 500 ล้านบาท จากกองทุนฟื้นฟูเอสเอ็มอีวงเงิน 2,000 ล้านบาท มาดำเนินการปล่อยกู้ให้แก่เอสเอ็มอีรายย่อย (ไมโครเอสเอ็มอี) และวิสาหกิจชุมชนรายละไม่เกิน 2 แสนบาท โดยไม่ต้องมีหลักประกันและไม่คิดดอกเบี้ยระยะ 10 ปี เพื่อให้เอสเอ็มอีรายย่อยนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนธุรกิจหรือปรับปรุงกิจการ
  • เลขาธิการศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ เปิดเผยว่า รัฐบาลควรจะมีการจัดตั้งองค์กรกลาง หรือองค์กรอิสระ เป็นศูนย์รวมดูแลลูกหนี้และ ที่ปรึกษาลูกหนี้ (วันสต็อปเซอร์วิส) ที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาลูกหนี้ตั้งแต่เริ่มจะเป็นหนี้ การเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตรวจสอบสัญญาเงินกู้ที่เป็นธรรม รวมไปถึงกรณีหากมีปัญหาเกี่ยวกับหนี้ และรับเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับปัญหาหนี้ เป็นต้น
  • ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณเงินไหลออก หลังจากที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐหลายตัวเริ่มออกมาดี อย่างไรก็ดี ธปท.ยังไม่วางใจ และรีบถอนมาตรการลดการออกพันธบัตร (บอนด์) ธปท.ที่ใช้อยู่ในขณะนี้
  • ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า วันที่ 17 พ.ค.นี้ ธปท. สมาคมธนาคารไทย และสถาบันการเงิน จะร่วมกันแถลงออกมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนอย่างครบวงจร เนื่องจากพบว่าปัจจุบันปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประชาชนมีหนี้เกินตัว และมีเจ้าหนี้เงินกู้หลายราย ดังนั้น ธปท. และสถาบันการเงิน ต้องเร่งสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการมีวินัยการใช้เงิน วินัยการชำระหนี้ ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินต้องมีความรับผิดชอบ ให้บริการสินเชื่อตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันพบว่า สถาบันการเงินเน้นการขายของโดยไม่มองความเสี่ยง ทำให้ลูกค้าได้สินเชื่อมากเกินควรและเกินความจำเป็น
*หุ้นเด่นวันนี้
  • TKN (ไอร่า) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท หลังคาดว่า TKN ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในปี 60 จากปัจจัยสำคัญ คือ ตลาดจีน ที่มีโอกาสในการขยายตลาดอีกมาก รวมถึงการเปิดใช้โรงงานแห่งใหม่ที่ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตรองรับการเติบโตของยอดขายที่มากขึ้น อย่างไรก็ตามต้นทุนสาหร่ายที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ปรับลดประมาณการกำไรในปี 60 ลง 8% โดยประเมินราคาเหมาะสมที่ 28.50 บาท จากเดิม 30.00 บาท ซึ่ง ณ ระดับราคาปัจจุบัน มี Upside ประมาณ 43%
  • CPALL (ทรีนีตี้) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 71 บาท หลังประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 จำนวน 4,765 ล้านบาท (+10.8% QoQ, +17.2%YoY) สูงกว่าที่คาดราว 2% นับว่ายังโตต่อเนื่องสม่ำเสมอ และยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 และตลอดช่วงครึ่งหลังของปี 60 ทั้งร้านสะดวกซื้อและ MAKRO ดีกว่าอุตสาหกรรม ,เป้าการขยายสาขาต่อเนื่องและเป็นไปได้ ขณะที่ภาระดอกเบี้ยลดลง อัตราหนี้สินต่อทุนค่อย ๆ ลดลง คาดประกาศกำไรปี 60 จำนวน 18,873 ล้านบาท เติบโต 13.2%YoY อัตราเงินปันผลราว 1.9%
  • PTTGC (ไอร่า) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 82 บาท หลังประกาศผลการดำเนินงานในช่วง 1Q/60 มีกำไรสุทธิสูงถึง 13,182 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมี ในขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ฟื้นตัวขึ้นจากราคา HDPE ที่เพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ฟื้นตัวขึ้นโดดเด่น จากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับสูง ในขณะที่ค่าการกลั่นอ่อนตัวลงเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้ยังมีการรับรู้กำไรจากสต็อกน้ำมันจำนวน 508 ล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 1,529 ล้านบาท พร้อมคาดผลการดำเนินงานปี 60 จะฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง และได้รับประโยชน์จากการเข้าซื้อกิจการปิโตรเคมีที่เป็นบริษัทลูกของ PTT ในขณะที่ราคา HDPE คาดว่าจะสามารถยืนได้ที่ระดับ 1,100-1,200 เหรียญสหรัฐ/ตัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ