ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองคก์กร-หุ้นกู้ MTLS ที่ BBB แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 5, 2017 17:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) ที่ระดับ “BBB" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจที่ยาวนานในการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันและการมีคณะผู้บริหารที่มากประสบการณ์ของบริษัท

การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการเติบโตที่รวดเร็วของสินเชื่อของบริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลอดจนความสามารถในการทำกำไรในระดับที่น่าประทับใจ ระดับฐานทุนที่เพียงพอ และเครือข่ายสาขาที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ตลอดจนเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทที่มีความอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้

ในปี 2535 ครอบครัวเพ็ชรอำไพซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปัจจุบันของบริษัทเมืองไทย ลิสซิ่ง ได้เริ่มธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่และรถจักรยานยนต์ใช้แล้ว โดยบริษัทได้เริ่มให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ในปี 2541 บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ในปี 2546 และบริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกันในปี 2549 อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ยกเลิกธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไปในปี 2544 จนกระทั่งในปี 2557 บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทคือครอบครัวเพ็ชรอำไพโดยถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 68%

บริษัทมีกลยุทธ์ในการขยายพื้นที่ทางการตลาดให้ครอบคลุมโดยการเพิ่มจำนวนสาขาเพื่อสามารถเข้าถึงและให้บริการกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทั้งนี้ บริษัทเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แถบชานเมืองและในระดับตำบลของจังหวัดต่างๆ จำนวนสาขาของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 506 สาขา ณ สิ้นปี 2557 เป็น 1,874 สาขา ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 สินเชื่อของบริษัทก็เติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน โดยเพิ่มจาก 7,448 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 23,541 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 77.8% สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 25,973 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 หรือเพิ่มขึ้น 10.3% จากสิ้นปี 2560

ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 สินเชื่อที่มีรถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นหลักประกันยังคงเป็นสัดส่วนหลักของสินเชื่อคงค้างของบริษัท โดยคิดเป็น 41.9% ตามมาด้วยสินเชื่อที่มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุกใช้แล้วเป็นหลักประกัน (33%) และสินเชื่อที่มียานพาหนะที่ใช้ในการเกษตรเป็นหลักประกัน (4.9%) ในขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันคิดเป็น 5.1% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2558 ได้แก่ สินเชื่อที่มีที่ดินเป็นหลักประกันและสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ด้วย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 สินเชื่อที่มีที่ดินเป็นหลักประกันมีสัดส่วนคิดเป็น 12.8% ของสินเชื่อคงค้าง ในขณะที่สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์คิดเป็น 2.3% ของสินเชื่อคงค้าง

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำแม้จะอยู่ในช่วงที่อุตสาหกรรมโดยรวมประสบกับภาวะยากลำบาก รวมทั้งยังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวก็ตาม อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัทยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 2% ณ สิ้นปี 2556 ลงมาอยู่ที่ระดับ 0.9% ณ สิ้นปี 2558 แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 1.1% ณ สิ้นปี 2559 จนถึงเดือนมีนาคม 2560 คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีของบริษัทเป็นผลมาจากนโยบายการอนุมัติสินเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานที่ระมัดระวังและการมีระบบการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพของบริษัทเป็นสำคัญ

ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 544 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 1,464 ล้านบาทในปี 2559 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 7.4% ในปี 2557 เป็น 7.8% ในปี 2559 (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2560 กำไรสุทธิของบริษัทเท่ากับ 536 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.5% จากช่วงเดียวกันของปี 2559 ขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเท่ากับ 8.4% (ปรับอัตราส่วนเป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว)

ผลกำไรที่สม่ำเสมอตลอดช่วงที่ผ่านมาทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น ประกอบกับหลังจากการเสนอขายหุ้นแก่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2557 ก็ทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 32.2% ณ สิ้นปี 2556 เป็น 58.2% ณ สิ้นปี 2557 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเป็น 43.2% ณ สิ้นปี 2558 และลดลงเป็น 27.4% ณ สิ้นปี 2559 และ 27% ณ เดือนมีนาคม 2560 จากการขยายสินเชื่ออย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี และแม้ว่าอัตราส่วนจะลดลง แต่ก็ถือว่าฐานทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับรองรับการขยายสินเชื่อในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับ 2.7 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560

บริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับความเสี่ยงสูงและค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในทางลบของภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น นโยบายการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดของบริษัท ตลอดจนกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพและฐานทุนที่แข็งแกร่งจะช่วยจำกัดและดูดซับความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งมีความเสี่ยงสูงดังกล่าวได้

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดและมีผลประกอบการที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อเอาไว้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ด้วยเช่นกัน

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทสามารถขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและคงผลการดำเนินงานในระดับที่น่าพอใจ ในขณะเดียวกันก็สามารถดำรงคุณภาพสินทรัพย์ในระดับสูงเอาไว้ได้นานอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากคุณภาพสินทรัพย์และความสามารถในการแข่งขันของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ