นายอนิศ โอสถานุเคราะห์ กรรมการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดีมีเตอร์ คอร์ปอดรชั่น (DCORP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า (60-64) จะเติบโตแตะระดับ 1,000 ล้านบาท หลังจากปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจแยกเป็น 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจด้านพลังงาน และธุรกิจด้านดิจิตอล อินโนเวชั่น
สำหรับธุรกิจดิจิตอล อินโนเวชั่น บริษัทฯคาดจะมีแนวโน้วการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่วนธุรกิจด้านพลังงาน ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ดีมีเตอร์ พาวเวอร์ จำกัด (DPOWER) จะเน้นไปที่ 2 กลุ่มหลัก คือ ธุรกิจพลังงานทดแทน และธุรกิจ Energy Storage และพลังงานไฮบริด ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้สม่ำเสมอให้กับบริษัทในระยะยาว จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่เป็นสัญญาระยะยาว
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชีวภาพหรือไบโอแก๊ส ที่จ.สุพรรณบุรี ขนาดกำลังการผลิต 4.9 เมกะวัตต์ คาดว่าจะจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางปี 61 ส่วนโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศฟิลิปปินส์ ที่จะเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 40% ขนาด 50 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการรอความชัดเจนจากรัฐบาลฟิลิปินส์ หลังจากได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าใหม่
ขณะที่ธุรกิจติดตั้งระบบประหยัดพลังงานในอาคารหรือ ธุรกิจ ESCO ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อรับงานดังกล่าวเพิ่มอีก ราว 2-3 ราย คาดจะเห็นความชัดเจนได้อย่างน้อย 1 ราย ภายใน 2 เดือนนี้ จากก่อนหน้านี้ได้เข้ารับงานปรับปรุงและเปลี่ยนหลอดไฟให้เป็นหลอดไฟ LED เปลี่ยนระบบทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพสูงในอาคารให้กับห้างสรรพสินค้าไอที คาดจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 100 ล้านบาท
นอกจากนี้การร่วมทุนกับบริษัท YINGLI ซึ่งเป็นพันธมิตรจากจีน ยืนยันว่ายังไม่มีการยกเลิกดีล แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่าน YINGLI มีปัญหาทางด้านการเงินทำให้บริษัทตกอันดับจากการเป็นผู้ผลิตแผงโซลาร์เซล์อันดับ 1 ของจีน โดยบริษัทฯจะกลับมาพิจารณาร่วมทุนอีกครั้ง หลังจากที่ YINGLI มีผลการดำเนินงานดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดีบริษัทอาจจะพิจารณาลงทุนกับผู้ร่วมทุนรายอื่นหากมีผลตอบแทนที่ดีกว่า
นายอนิศ กล่าวว่า ธุรกิจด้านดิจิตอล อินโนเวชั่น จะดำเนินการภายใต้บริษัท ดีมีเตอร์ อินโนเวชั่น จำกัด (DINNOVATION) ซึ่งได้มีการเปลี่ยนชื่อจากบริษัท ดีมีเตอร์ มีเดีย (Dmedia) เดิมประกอบธุรกิจเคเบิลทีวี ผ่านดาวเทียม โดยธุรกิจดิจิตอลอินโนเวชั่น จะมุ่งเน้นการแสวงหาคอนเทนท์ใหม่ๆ และจะรับรู้รายได้จากการเข้าร่วมของเหล่าดีเจ ผู้ที่สนใจเข้าร่วม LIVE และดาวน์โหลดสติกเกอร์ของขวัญ เป็นต้น ซึ่งบริษัทคาดหวังจะมีส่วนแบ่งทางการตลาด ของธุรกิจ Live TV Platform ราว 50% หรือประมาณ 1,700 ล้านบาท ภายหลังจากที่มีการเปิดให้บริการ จากปีก่อนมูลค่าการตลาดดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 3,400 ล้านบาท
ล่าสุด บริษัท ได้ลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายหุ้นเป็นที่เรียบร้อย ในการเข้าถือหุ้นในบริษัท บลูฟีนิกซ์ จำกัด ในสัดส่วน 30% ด้วยวงเงินลงทุนทั้งหมด 74.37 ล้านบาท และมีการรับรู้รายได้เข้ามาแล้ว
พร้อมกันนี้แนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าวต่อจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างทดลองระบบ Live TV Platform ผ่าน Internet ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกอุปกรณ์การสื่อสาร และทุกระบบปฎิบัติการ ไม่ว่าจะเป็น Android ,ios ,PC คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในกลางเดือนก.ค.60 โดยตั้งเป้าผู้ดาวโหลดแอพลิเคชั่น จำนวน 2-3 แสนรายภายในปีนี้ และวางบลงทุนด้านการตลาดไว้ราว 10-15 ล้านบาท อีกทั้งยังมองโอกาสในการขยายไปยังประเทศกลุ่ม CLMV ด้วยในอนาคต
ปัจจุบันบริษัทฯ มีกระแสเงินสดในมืออยู่ราว 500 ล้านบาท และยังมีความสามารถในการกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินได้อีกมาก จากปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.05 เท่า ซึ่งน่าจะเพียงพอต่อการลงทุนที่จะเกิดขึ้น