บลจ.ยูโอบี ชี้ SETปีนี้ให้ผลตอบแทนต่ำแค่ 2% ลุ้นปีหน้าแตะ 1,700 จุด,เล็งคลอดกอง Emerging Market-เฮดจ์ฟันด์

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday August 28, 2017 08:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทมีมุมมองหุ้นไทยหลังจากนี้จนถึงสิ้นปีนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบ ให้กรอบ SET Index ช่วง 1,550-1,600 จุด โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน SET ให้ผลตอบแทนเพียง 2% ต่ำกว่าหลายประเทศในเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นต้น เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่มาสนับสนุน แต่คาดว่า SET ในปี 61 จะปรับตัวขึ้น ให้กรอบ 1,600-1,700 จุด โดยคาดว่ากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าจะเติบโต 10% จากปีนี้ รวมทั้งภาพรวมเศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวขึ้นต่อ ซึ่งคาดจีดีพีปีหน้าเติบโต 3.5 -4.0% จากปีนี้คาดจีดีพีเติบโต 3.5- 3.7% และ EPS ของบจ.เติบโต 7-8%

"ปีนี้ปัจจัยขับเคลื่อนใหม่ ๆ ไม่เห็น ตลาดหุ้นไทยขึ้นน้อยที่สุด โดยปีนี้ตลาด SET ขึ้นแค่ 2% ต่างกับตลาดฟิลิปปินส์ และอินโดฯขึ้นมากว่า 10% ตอนนี้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะ Sideway แกว่งออกด้านข้าง ปีนี้สร้างฐาน ปีหน้ามองว่าน่าจะดีขึ้น และต่างชาติคาดหวังไทยจะมีการเลือกตั้ง"นายวนา กล่าว

ทั้งนี้ปัจจัยความเสี่ยงที่จะต้องติดตาม ได้แก่ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งอาจจะไม่ปรับขึ้นในปีนี้ มีแนวโน้มเลื่อนไปขึ้นดอกเบี้ยครั้งถัดไปในต้นปีหน้า โดยจะมีการปรับลดงบดุลที่คาดว่าจะเริ่มในไตรมาส 3 ปีนี้ และความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี ขณะเดียวกันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เงินบาทแข็งค่า 8%เทียบกับเงินสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย รองลงมาเป็นเงินเยนญี่ปุ่น แข็งค่าขึ้น 7.13% เงินเหรียญสิงคโปร์แข็งค่า 6.16% เงินริงกิตมาเลเซียแข็งค่า 4.6% อย่างไรก็ตาม มองว่า จากนี้ไปจนถึงสิ้นปีเงินบาทไม่น่าจะแข็งค่าเพิ่มขึ้น

ดังนั้น มองภาพตลาดหุ้นไทยปีนี้เป็น Neutral โดยไม่มีปัจจัยใหม่มาขับเคลื่อนตลาดทำให้ไม่มีแรงหนุนจากเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติ

ปีนี้กลุ่มที่น่าลงทุนเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับกับการใช้จ่ายภาครัฐ ,กลุ่มท่องเที่ยว และ ส่งออก โดยกลุ่มพลังงานให้น้ำหนัก Neutral - Overweight , กลุ่มธนาคาร ให้ Neutral ส่วนกลุ่มพาณิชย์ และ ICT ให้น้ำหนัก Underweight

ทั้งนี้ มองว่าในปีนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศให้ผลตอบแทนดีกว่า โดยตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นไปมาก แต่ยังชอบกลุ่ม Health Care ที่ไม่ได้ปัจจัยการเมืองมาเกี่ยวข้อง เพราะเป็นการคิดค้นยาใหม่ ส่วนยุโรปมีการบริโภคและการค้าที่เติบโตดี ปัญหาการเมืองหมดไปเหลือ Brexit ที่คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัย และผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาก็อยู่ในเกณฑ์ดี และในตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้น้ำหนักลงทุนมากที่สุด เพราะเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาทำได้ดี การบริโภคและการลงทุนเริ่มดีขึ้น ระยะยาวมีการลงทุนด้านสาธารณูปโภคเตรียมความพร้อมโอลิปมิก 2020

นายวนา กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บลจ.ยูโอบี ฯ มีแผนออกกองทุนใหม่ 2-3 กองทุน ได้แก่ กองทุนที่ลงทุน Emeging Market ไม่จำกัดในแถบเอเชีย แต่มองการลงทุนในยุโรปตะวันออก โดยเป็นการลงทุนหลายสินทรัพย์ (Multi Asset) ที่มีทั้งลงทุนตราสารหนี้และหุ้นด้วย อีกกองเป็นกองทุนเปิดที่เน้นลงทุนหุ้น CG ที่จะออกร่วมกับ 11 บลจ. โดยคาดว่าจะออกเสนอขายได้ปลายต.ค.นี้ ซึ่งจะมีหุ้นที่มีธรรมาภิบาล (CG) และ เป็นองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น(CAC) ด้วย ซึ่งปัจจุบันที่ 123 หุ้น โดยหุ้นเหล่านี้ไม่ค่อยมีความผันผวนด้านราคา ส่วนอีกกองคาดว่าจะเป็น Complexed Fund ที่อาจจะลงทุนกองทุนเฮดจ์ฟันด์

ทั้งนี้ บลจ.ยูโอบี ฯคาดว่าในปีนี้จะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เติบโต 10% จากปีก่อนมี AUM 2.65 แสนล้านบาท (ไม่รวมกองทุนส่วนบุคคล) โดยในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา มีเม็ดเงินเช้ามา 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในกองทุนเปิด ยูไนเต็ด อินคัม โฟกัส ฟันด์ (UIF) และ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ (UGIS)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ