ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ THANI วงเงินไม่เกิน 3 พันลบ. ที่ระดับ “A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 20, 2017 16:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) ที่ระดับ “A-" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-" ด้วย

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะธุรกิจของบริษัทอันเนื่องมาจากสถานะทางการตลาดและผลประกอบการทางการเงินที่ปรับดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูงในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วและรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ รวมถึงการพัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติงานและระบบบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินจาก ธนาคารธนชาต (TBANK) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท

อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากการเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารธนชาต อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรง คุณภาพสินเชื่อและการพึ่งพิงสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์เป็นหลัก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

THANI มีสถานะเป็นบริษัทลูกของธนาคารธนชาตมาตั้งแต่ปี 2553 หลังจากการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารนครหลวงไทย กับธนาคารธนชาตพร้อมทั้งมีการปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ปัจจุบันบริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มควบรวมแบบ Non-Solo Consolidation กับธนาคารธนชาตตามกฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

แม้ว่าธุรกิจหลักของบริษัทคือธุรกิจสินเชื่อรถยนต์จะทับซ้อนกับธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ของธนาคารธนชาต ทว่าบริษัทและธนาคารก็มีผลิตภัณฑ์และตลาดเป้าหมายที่ต่างกัน โดยบริษัทเน้นกลุ่มตลาดที่ธนาคารธนชาตยังเข้าไม่ถึง นอกจากนี้ ธนาคารธนชาตยังได้ให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทในการพัฒนากระบวนการอนุมัติสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้วย โดยมีการนำนโยบายการบริหารความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ มาใช้ในบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของธนาคารธนชาต ทั้งนี้ บริษัทยังได้รับคำแนะนำอย่างใกล้ชิดจากธนาคารและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. ผ่านการกำกับดูแลจากธนาคารแม่ด้วยเช่นกัน

บริษัทมีความคล่องตัวทางการเงินมากขึ้นหลังจากมีสถานะเป็นบริษัทลูกของธนาคารธนชาตซึ่งทำให้บริษัทได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินเพิ่มมากขึ้นจนช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนความพยายามในการขยายธุรกิจของบริษัท บริษัทสามารถยกระดับสถานะทางการตลาดได้อย่างต่อเนื่องโดยสะท้อนจากการเติบโตที่สม่ำเสมอของสินเชื่อ

ทั้งนี้ ระหว่างปี 2550-2556 สินเชื่อของบริษัทเติบโตในอัตรามากกว่า 10% มาโดยตลอด มูลค่าสินเชื่อคงเหลือรวมมีอัตราการเติบโตสะสมโดยเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ระดับ 45% บริษัทมีสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2,854 ล้านบาทในปี 2550 และเติบโตอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 27,421 ล้านบาทในปี 2556 อย่างไรก็ดี ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวตั้งแต่ปี 2557 ทำให้อัตราการเติบโตของสินเชื่อลดลง นอกจากนี้ ทีมผู้บริหารของบริษัทยังคงเน้นให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินทรัพย์เป็นหลัก ส่งผลทำให้สินเชื่อรวมของบริษัทโตเพียง 3% ในปี 2557 และ 6% ในปี 2558

ทั้งนี้ ในปี 2559 สินเชื่อรวมของบริษัทกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างมาก มาอยู่ที่ 34,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2558 สินเชื่อรวมของบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 39,184 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2559

บริษัทเน้นการให้บริการสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์มาตั้งแต่ปี 2549 โดยสินเชื่อในกลุ่มนี้คิดเป็น 67% ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คงค้างของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 บริษัทถือเป็นผู้นำตลาดในสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ อย่างไรก็ดี การพึ่งพิงสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์เป็นหลักทำให้บริษัทมีความเสี่ยงในการกระจุกตัวในธุรกิจดังกล่าว นอกจากนี้ สินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์เป็นสินเชื่อที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ บริษัทจึงได้พยายามชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มนี้ด้วย การคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การเรียกเก็บเงินดาวน์ที่เพิ่มขึ้น และการเรียกร้องให้ลูกค้าจ่ายชำระเป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้า เป็นต้น ทั้งนี้ การเติบโตอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปีที่ผ่านมาและผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในการปล่อยสินเชื่อรถบรรทุกได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของคณะผู้บริหารของบริษัทในธุรกิจสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเกือบทุกปีนับตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปี 2555 โดยลดลงจาก 4.9% ในปี 2551 เป็น 2.3% ณ เดือนธันวาคม 2555 อย่างไรก็ดี อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 3.6% ในปี 2556 และอยู่ในระดับสูงสุดที่ระดับ 5.2% ในปี 2557 เนื่องจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ อัตราส่วนดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่ 4.6% ในปี 2558 เนื่องจากการตัดหนี้สูญ รวมทั้งจากการขายหนี้ด้อยคุณภาพ การปรับโครงสร้างหนี้ และกระบวนการติดตามหนี้ที่เข้มงวด ณ สิ้นปี 2559 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เท่ากับ 4.4% ลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 4.3% ณ เดือนกันยายน 2560 อย่างไรก็ดี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางในปัจจุบัน ทริสเรทติ้งยังคงให้ความสำคัญในการติดตามคุณภาพสินเชื่อของบริษัท

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเป็นการล่วงหน้าเพื่อรองรับมาตรฐานบัญชีใหม่ (IFRS9) ซึ่งจะนำมาใช้ในปี 2562 บริษัทยังมีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น แม้ว่าต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเป็นจำนวนมาก โดยในปี 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิ 881 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% จากปีก่อน สำหรับอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยนั้นก็เพิ่มขึ้นจาก 2.6% ในปี 2558 เป็น 2.8% ในปี 2559

การที่บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารธนชาตทำให้ทริสเรทติ้งลดความกังวลเกี่ยวกับสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทลงไป บริษัทยังได้เสริมฐานทุนในปี 2556 ด้วยการจ่ายหุ้นปันผล อย่างไรก็ตาม การจ่ายหุ้นปันผลไม่เพียงพอต่อการรักษาระดับอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวม และอัตราส่วนดังกล่าวลดลงเป็น 11.8% ณ สิ้นปี 2556 จาก 13.1% ณ สิ้นปี 2555 อันเนื่องมาจากการขยายสินเชื่ออย่างรวดเร็วในช่วงเวลาดังกล่าว

ในปี 2557 บริษัทยังคงจ่ายหุ้นปันผลอีกครั้งแต่สินเชื่อเติบโตน้อยลง ส่งผลให้อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นเป็น 13.9% ในปี 2557 และ 15.5% ในปี 2558 เมื่อพิจารณาถึงอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทในปัจจุบันที่ระดับ 14% รวมถึงระดับความสามารถในการทำกำไรและนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอนาคตแล้วทำให้คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะเพียงพอสำหรับการเติบโตของสินเชื่อรวมในระดับประมาณ 10%-15% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่การขยายธุรกิจที่นอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้นั้นบริษัทอาจต้องมีการปรับโครงสร้างเงินทุนใหม่เพื่อที่จะดำรงฐานทุนให้มีเพียงพอ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผู้บริหารที่มากประสบการณ์ ตลอดจนประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่ปรับตัวดีขึ้น และการสนับสนุนจากธนาคารแม่จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายสินเชื่อและรักษาสถานะทางการตลาดในตลาดเป้าหมายได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมและรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้และรักษาระดับการทำกำไรที่ดี อีกทั้งการสนับสนุนจากธนาคารแม่ยังคาดว่าจะมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือในด้านเงินทุน

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับเพิ่มขึ้น หากบริษัทสามารถพัฒนาสถานะทางการตลาดและสถานะทางการเงินเพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการตลาดและคุณภาพสินเชื่อของบริษัทอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง หรือสถานะความเสี่ยงและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของระดับการสนับสนุนจากธนาคารแม่ที่มีต่อบริษัท หรือการเปลี่ยนแปลงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ต่อธนาคารแม่อาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ