(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์-ซึมเล็กน้อย รอความคืบหน้าแผนปฏิรูปภาษีสหรัฐฯ-ประชุมกลุ่มโอเปก

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 28, 2017 10:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์-ซึมเล็กน้อย โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ก็ติดลบ เนื่องจากต่างรอดูปัจจัยจากนอกประเทศ ในเรื่องแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯที่วุฒิสภาจะพิจารณาและโหวตเสียงในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ซึ่งถ้าแผนผ่านได้ก็จะทำให้ตลาดฯปรับตัวขึ้น

นอกจากนี้ จะมีการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)ในวันที่ 30 พ.ย.นี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากผลออกมายืดระยะเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมัน เชื่อว่าจะทำให้ตลาดฯปรับตัวขึ้นได้ไม่มาก เพราะตลาดฯได้ตอบรับไปแล้ว และเมื่อคืนที่ผ่านมาราคาน้ำมันก็เริ่มลงเล็กน้อย

อย่างไรก็ดี ตลาดบ้านเราน่าจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยในประเทศจากที่เริ่มมีแรงซื้อจากองทุน LTF, RMF ทำให้เชื่อว่าตลาดฯคงจะปรับตัวลงลึก และในวันที่ 30 พ.ย.นี้ MSCI จะมีการปรับน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยด้วย ก็น่าจะช่วยหนุตลาดฯได้บ้าง นอกนั้นก็ยังไม่เห็นปัจจัยใหม่อะไรเข้ามา

พร้อมให้แนวรับ 1,687 จุด ส่วนแนวต้าน 1,704 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (27 พ.ย.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,580.78 จุด เพิ่มขึ้น 22.79 จุด (+0.10%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,601.42 จุด ลดลง 1.00 จุด (-0.04%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,878.52 จุด ลดลง 10.64 จุด (-0.15%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 21.25 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 11.00 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 77.55 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 17.37 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.71 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 0.65 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 3.74 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (27 พ.ย.60) 1,695.67 จุด ลดลง 0.17 จุด (-0.01%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,207.02 ล้านบาท เมื่อวันที่ 27 พ.ย.60
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (27 พ.ย.60) ปิดที่ระดับ 58.11 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 84 เซนต์ หรือ 1.4%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (27 พ.ย.60) ที่ 7.16 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 32.61 แนวโน้มอ่อนค่าหลังดอลล์แข็ง นลท.จับตาวุฒิสภาลงมติร่าง กม.ปฏิรูปภาษีสหรัฐ
  • หอการค้าสงขลา เผยเอกชนเสนอรัฐบาลดันเมกะโปรเจคภาคใต้ 5 ปี 14 โครงการ มูลค่า 5 แสนล้าน หวัง บูมเศรษฐกิจภาคใต้โตไม่ต่ำกว่า 6% ชงครม. วันนี้ ด้าน สศช.เสนอโครงการพัฒนาภาคใต้-ชายแดนภาคใต้ ดันท่องเที่ยวมาตรฐานสากล พร้อมสร้างฐานผลิตเชื่อมโยงอาเซียน
  • พลังงานเร่งคลอด PDP ฉบับใหม่ ลุ้นคาดความต้องการใช้ไฟฟ้าจ่อลดลงหลังนำปัจจัยผลิตไฟฟ้าใช้เองมาประกอบการพิจารณา มั่นใจกลางปี 61 ประกาศใช้จริงได้
  • ปตท.เลื่อนโอนทรัพย์สินธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกให้ PTTOR จาก ธ.ค.60 เป็นปี 61 แจงขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนยังไม่แล้วเสร็จ เผยเร่งเดินหน้าหาพันธมิตร บัดเจทโฮเทล พร้อมเปิดโครงการพลังซื้อข้าวจากชาวนา" ปีที่ 2 เพื่อเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายข้าวให้แก่ชาวนาไทย
  • หน.ผู้ตรวจคลังทำแผนตรวจเข้ารีดภาษีปีหน้า 2.61 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นสรรพากร 1.9 ล้านล้าน สรรพสามิต 6 แสนล้าน และศุลกากร 1.1 แสนล้าน เผยเดือนต.ค.เก็บได้เกินเป้าแล้ว เชื่อทำได้ไม่มีปัญหาแม้ยังออกกฎหมายเก็บภาษีอีคอมเมิร์ซไม่ได้ก็ตาม

*หุ้นเด่นวันนี้

  • MTLS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 48 บาท ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 และปี 2561 ขึ้น 5% และ 2% เป็น 2.4 พันลบ. (+67% Y-Y) และ 3.4 พันลบ. (+40% Y-Y) ตามลำดับ ในระยะสั้นคาดว่าราคาหุ้นยังมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มกำไร Q4/60 ที่คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 680-700 ลบ. +5-8% Q-Q และ +40-45% Y-Y ตามฤดูกาลที่ดีของการปล่อยสินเชื่อ เพราะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตรและจับจ่ายใช้สอยปลายปี ส่วนปี 2018 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อความต้องการสินเชื่อ และภาวะหนี้ครัวเรือนที่ผ่อนคลายลงจะหนุนความสามารถในการก่อหนี้และชำระหนี้ได้ดีขึ้น
  • NDR (ฟินันเซีย ไซรัส) ผลงาน Q2-Q3/60 ทรุดหนักจาก ราคายางที่เป็นต้นทุนหลักทรงตัวในระดับสูงราว 60-70 บาท/กก. และเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ใช้ส่งออกไปมาเลเซียที่เป็นลูกค้ารายสำคัญ แต่ด้วยแรงกดดันทั้งคู่ที่เริ่มผ่อนคลายลง โดยเฉพาะต้นทุนยางที่อ่อนตัวเหลือเพียง 50 บาท/กก. ทำให้คาดว่ากำไร Q4/60 จะกลับเข้าสู่ระดับปกติที่ 10-15 ลบ./ไตรมาส ขณะที่ การเข้าซื้อ FKRMM ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายในมาเลเซีย 100% โดยการเพิ่มทุนแล้ว swap หุ้นบางส่วนที่ราคา 4 บาท จะทำให้ยอดขายในมาเลเซียเร่งตัวขึ้นไปชดเชยตลาดอินเดียที่ชะลอ ถือเป็นหุ้น Turnaround อีกตัวที่น่าจับตา ซึ่งถ้าสมมติให้กำไรปีหน้ากลับไปเท่าไป 2559 ที่ไม่มีแรงกดดันด้านต้นทุนราว 50-55 ลบ. PE2561 คิดเป็น 15 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวของตัวเองที่ 18 เท่า
  • MALEE (ไอร่า) เป้า 48.50 บาท คาดผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว คาดดีขึ้นตามลำดับใน 4Q/60 และแข็งแกร่งในปี 61 โดยมีปัจจัยสำคัญจากสินค้าส่งออกแบรนด์ “MALEE" ที่เติบโตแข็งแกร่งมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรับจ้างผลิตน้ำมะพร้าวที่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งคาดว่าจะสามารถกลับมาเติบโตตามตลาดน้ำมะพร้าวโลกได้ รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆในธุรกิจรับจ้างผลิต จะช่วยผลักดันยอดขายของธุรกิจ CMG ในประเทศได้ คาดกำไรสุทธิปี 61 เพิ่มขึ้น 52% อยู่ที่ 543 ล้านบาท
  • RATCH (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 58.25 บาท ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2560-2562 ขึ้นเล็กน้อยเช่นกันที่ 4%/2%/2% เป็น 7.8พันลบ./6.9พันลบ./7.5พันลบ. เพื่อสะท้อนค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าแท้จริง (Effective availability factor: EAF) ของโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสาที่ปรับตัวสูงขึ้นตามที่ฝ่ายจัดการชี้แจง ในขณะนี้เชื่อว่า RATCH มีอัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยงในระดับที่น่าสนใจมากขึ้น เนื่องจาก RATCH มีการซื้อขายที่ PER/PBV ปี 2561 ณ 11.2เท่า/1.2เท่า เทียบกับหุ้นกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าอีก 7 ตัว ที่วิเคราะห์อยู่ ณ 24.5เท่า/2เท่า และ ณ ราคาปัจจุบัน RATCH ให้อัตราผลตอบแทนโดยรวมถึงประมาณ 11% (upside 5.9% และ dividend yield 4.9%) ในขณะที่หุ้นกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าอีก 7 ตัวมี upside จำกัด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ