หุ้น GULF ปิดเทรดวันแรกที่ 53.75 บาท เพิ่มขึ้น 8.75 บาท (+19.44%) จากราคาขาย IPO ที่ 45 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 18,366.19 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 57.50 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 59.50 บาท และราคาทำระดับต่ำสุด 52.25 บาท
นอกจากนี้ ยังมีรายการบิ๊กล็อต GULF 10 รายการ จำนวน 106.95 ล้านหุ้น มูลค่าซื้อขาย 5,000.13 ล้านบาท เทรดในราคาเฉลี่ยหุ้นละ 46.75 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสำหรับปี 2561 ของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ไว้ที่ราว 51-55 บาท แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่า GULF ยังมีอัพไซด์จากผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ที่อยู่ระดับ 2.47 พันล้านบาท มากกว่าที่ตลาดคาด และมองว่า GULF เป็นหุ้น Growth Stock ของกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีความมั่นคงในการเติบโตในระยะยาวที่สูง โดยเฉพาะในปี 64-67 ที่โรงไฟฟ้า GSRC และ GPD (คิดเป็นกำลังการผลิตส่วนของบริษัท 3,710 MW) เปิดดำเนินงานจะทำให้ผลประกอบการของ GULF เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และมีความเสี่ยงคือข้อพิพาททางกฏหมายของ GPD และ GSRC
GULF ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำเย็น และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยมี GVTP เป็นบริษัทแกน ทั้งนี้ เมื่อโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง/เตรียมการก่อสร้างและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในปี 2567 รวมกับโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว กลุ่มบริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง (Installed Capacity) รวมทั้งสิ้น 11,125.6 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของของบริษัทฯ ทั้งสิ้น 6,329.2 เมกะวัตต์ โดยในปีนี้ GULF ได้มีการเปิดโรงไฟฟ้าทั้งสิ้น 4 แห่งตั้งแต่ไตรมาส 2-4
โครงการอนาคต บริษัทมีโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและเตรียมการก่อสร้าง 8 โครงการและโครงการ IPP ก๊าซธรรมชาติภายใต้ IPD จำนวน 2 โครงการซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมการก่อสร้างคือ GSRC และ GPD (กำลังการผลิต 2,500MW และเป็นส่วนของบริษัท 1,855MW) มีต้นทุนเฉลี่ย 5.1 หมื่นล้านบาท/โครงการ คาดกำหนดเริ่มต้นขายไฟฟ้าในปี 2564-65 สำหรับ GSRC และ 2566-67 สำหรับ GPD นอกจากนี้ยังมีโรงไฟฟ้า SPP ชีวมวลมูลค่า 2.3 พันล้านบาทมีกำหนดการขายไฟฟ้าประมาณปี 2562