โบรกฯเชียร์"ซื้อ"BANPU มองกำไรปีนี้โตต่อเนื่องปี 60 ขานรับราคาถ่านหินสูง-ธุรกิจไฟฟ้าเด่น,ราคา Laggard

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 5, 2018 14:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.บ้านปู (BANPU) มองแนวโน้มกำไรปี 61 เติบโตต่อเนื่องจากปี 60 จากธุรกิจถ่านหินที่แข็งแกร่งหลังราคายังยืนอยู่ในระดับสูง โดยราคา Newcastle ล่าสุดยืนอยู่ที่กว่า 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน และปริมาณการผลิตที่สูงขึ้นกว่าปีก่อน ที่การผลิตถ่านหินในอินโดนีเซียทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายจากปริมาณน้ำฝนที่มาก ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้ายังคงสร้างส่วนแบ่งกำไรเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และในปี 61 จะมีกำลังการผลิตใหม่จากโซลาร์ฟาร์มในจีนและญี่ปุ่นเข้ามาเพิ่มขึ้น ช่วยหนุนผลการดำเนินงาน

สำหรับในไตรมาส 4/60 คาดว่าผลการดำเนินงานของ BANPU ยังคงอยู่ในระดับที่ดี จากธุรกิจถ่านหินที่ได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตและราคาขายที่สูงขึ้น ช่วยชดเชยกำไรจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดซ่อมบำรุงของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี และโรงไฟฟ้าหงสา

ด้านราคาหุ้นของ BANPU มองว่ายัง Laggard สวนทางเมื่อเทียบกับพื้นฐาน และเมื่อเทียบกับ SET และกลุ่มพลังงาน โดยทั้งปี 60 หุ้น BANPU ปรับขึ้นเพียง 1.56% เมื่อเทียบกับ SET ที่ปรับขึ้น 13.66% และดัชนีกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้น 19.64% หลังยังคงมีปัจจัยกดดันจากคดีฟ้องร้องของโครงการหงสาที่อยู่ระหว่างรอคำพิพากษาจากศาลฎีกา อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ต้นปี 61 หุ้น BANPU ขยับขึ้นมาแล้วราว 5% ขณะที่ SET ปรับขึ้นราว 2% และดัชนีกลุ่มพลังงาน ปรับขึ้นราว 4%

ล่าสุด พักเที่ยงราคาหุ้น BANPU อยู่ที่ 20.50 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 0.49%

          โบรกเกอร์                    คำแนะนำ                ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          เคจีไอ (ประเทศไทย)             ซื้อ                        24.00
          เอเซีย พลัส                     ซื้อ                        26.00
          เอเอสแอล                      ซื้อ                        23.00
          เอเชีย เวลท์                    ซื้อ                        27.00
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)              ซื้อ                        26.00
          ฟินันเซีย ไซรัส                   ซื้อ                        21.00
          หยวนต้า (ประเทศไทย)            ซื้อ                        22.00
          ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)           ซื้อ                        25.00

นางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจถ่านหินยังคงแข็งแกร่งตามราคาถ่านหินที่ยืนอยู่ในระดับกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน จะเป็นตัวผลักดันการเติบโตของ BANPU ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า อีกทั้งการกระจายไปยังหลากหลายธุรกิจที่มากขึ้นทั้งธุรกิจไฟฟ้า และก๊าซธรรมชาติ ก็จะช่วยสร้างเสถียรภาพของกำไรด้วย

ทั้งนี้ ประเมินว่าแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 4/60 ของ BANPU จะอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาส 3/60 จากการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี เกือบ 2 เดือน และโรงไฟฟ้าหงสา ในลาว อีก 1 ยูนิต เกือบ 1 เดือน แต่ในส่วนของธุรกิจถ่านหินยังคงทรงตัวระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณขายที่ทำได้กว่า 6 ล้านตัน และราคาขายถ่านหินของเหมืองอินโดนีเซียที่ยืนเหนือ 70 เหรียญสหรัฐ/ตัน

อย่างไรก็ตามปรับลดประมาณการกำไรปี 60 ลง 5.7% สะท้อนรายการพิเศษขาดทุนจากการทำประกันความเสี่ยง (Hedging) ที่มากกว่าคาด ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 60 อยู่ที่ 8.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับกำไรสุทธิปี 59 ที่ทำได้เพียง 1.7 พันล้านบาท ขณะที่คาดว่ากำไรปี 61 จะเติบโตขั้นต่ำได้อีกราว 18.9% ภายใต้สมมติฐานอย่างระมัดระวังที่ราคาถ่านหินเท่ากับปี 60 ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/ตัน

สำหรับราคาหุ้น BANPU ในปัจจุบันนับว่ายังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน สิ้นปี 61 ที่ 26 บาท/หุ้น ค่อนข้างมาก ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่จะทยอยซื้อสะสมลงทุน เพราะการขึ้นของหุ้น BANPU ช่วงนี้จะมีกรอบจำกัดจากการที่ตลาดให้น้ำหนักไปยังความเสี่ยงของคดีหงสา ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลฎีกา

บทวิเคราะห์บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่ากำไรสุทธิของ BANPU ในไตรมาส 4/60 จะอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสก่อน โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน มีสาเหตุสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิตถ่านหินจากเหมืองที่อินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าปริมาณการผลิตถ่านหินทั้งหมดของ BANPU จะเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อนเป็น 9.7 ล้านตัน โดยคาดว่าปริมาณการผลิตที่อินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้น 10% เป็น 6.4 ล้านตัน เนื่องจากปริมาณฝนตกในพื้นที่ลดลง และปริมาณการผลิตที่ออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 3% เป็น 3.3 ล้านตัน เนื่องจากการย้ายอุปกรณ์ longwall น้อยลง

ทั้งนี้ คาดว่าราคาขายถ่านหินเฉลี่ยจะขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2% เป็น 75 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ต้นทุนการผลิตถ่านหินรวมทรงตัว อยู่ที่ 42 เหรียญสหรัฐ/ตัน นอกจากนี้ยังคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกอย่างบมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ก็น่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าหงสาสั้นลง จึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 60 เอาไว้ที่ 8.2 พันล้านบาท

ส่วนปี 61 คาดว่ากำไรสุทธิของ BANPU จะเพิ่มขึ้น 16% เป็น 9.6 พันล้านบาท จากปริมาณการผลิตถ่านหินจากเหมืองในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นเป็น 24 ล้านตัน จาก 22.9 ล้านตันในปี 60 ที่ทำได้ต่ำกว่าเป้าหมายแรกที่ตั้งไว้สูงถึง 27 ล้านตันจากปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปีก่อน ๆ สำหรับราคาเฉลี่ยถ่านหิน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3% จากปี 60 เป็น 73 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิของ BPP จะเพิ่มขึ้น 4% ในปี 61 จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าหงสา

พร้อมทั้งขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 61 ของ BANPU ที่ 24 บาท เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 23.50 บาท เพื่อสะท้อนถึงการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของ BPP ด้วย และยังแนะนำ"ซื้อ"เนื่องจากราคาหุ้นยังคงขยับตามหลังหุ้นพลังงานขนาดใหญ่ตัวอื่น ๆ จากความกังวลเกี่ยวกับคดีฟ้องร้องของโครงการหงสาที่อยู่ภายใต้การพิจารณาของศาลฎีกา และยังไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนว่าจะมีคำตัดสินออกมาเมื่อใด แต่อย่างไรก็ตามได้คำนวณผลกระทบจากคดีหงสาในกรณีเลวร้ายที่สุดเอาไว้ที่ 4.50 บาท/หุ้น โดยอิงจากการพิจารณาค่าเสียหายทั้งหมดโดยศาลชั้นต้นที่ 3.17 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากรวมคำนวณผลกระทบกรณีนี้จะทำให้ราคาเป้าหมาเหลือ 19.50 บาท

บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/60 ของ BANPU จากการฟื้นตัวของราคาถ่านหิน เพียงพอชดเชยรายได้จากกลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ลดลง ทั้งจากโครงการบีแอลซีพี และโครงการหงสา ซึ่งมีแผนการหยุดซ่อมหน่วยผลิตไฟฟ้าในช่วงไตรมาส 4/60 และความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ลดลงตามฤดูกาล รวมไปถึงอัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าในประเทศจีนที่คาดว่าจะลดลง จากการปรับเพิ่มของต้นทุนผลิตตามทิศทางของราคาถ่านหิน โดยยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 60 ไว้ที่ 8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 379% จากปีที่แล้ว ขณะที่ผลประกอบการปี 61 ยังเชื่อว่ามีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจหลักที่ได้ประโยชน์จากราคาถ่านหินที่แข็งแกร่ง

นักวิเคราะห์ บล.แอพเพิล เวลธ์ กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 61 ของ BANPU ยังจะได้รับประโยชน์จากราคาถ่านหินที่ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าคาดการณ์ราคาถ่านหินตลาดโลกแบบ conservative ที่ระดับ 80 เหรียญสหรัฐ/ตัน อ่อนตัวลงจากปี 60 ที่เฉลี่ย 88-89 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ก็ยังนับว่าอยู่ในระดับสูง ขณะที่ยังต้องติดตามมาตรการควบคุมการผลิตของจีนว่าจะลดหรือเพิ่มกำลังการผลิตถ่านหิน ซึ่งจะส่งผลต่อราคาถ่านหิน โดยในช่วงปลายปี 60 ราคาถ่านหินปรับขึ้นมามาก ส่วนหนึ่งจากการที่จีนให้ใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้ามากขึ้นในช่วงฤดูหนาว จากก่อนหน้านี้ไม่ต้องการให้ใช้เพราะเกรงจะเกิดปัญหามลพิษ

ในด้านต้นทุนน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ก็อาจจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตถ่านหินด้วย ซึ่งอาจกดดันต่อมาร์จิ้นและทิศทางผลกำไรให้ชะลอตัวลงจากปี 60 ส่วนผลการดำเนินงานของธุรกิจไฟฟ้าไม่ได้มีนัยสำคัญมากนัก แต่ก็จะมีการรับรู้ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นในส่วนของโครงการโซลาร์ฟาร์มในจีนและญี่ปุ่นที่จะทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบในปี 61

อย่างไรก็ตามจากแนวโน้มกำไรที่ยังดีจากแรงขับเคลื่อนของธุรกิจถ่านหิน และกำไรจากโรงไฟฟ้าที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอทำให้ยังคงคำแนะนำ"ซื้อ"สำหรับหุ้น BANPU


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ