ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ NOBLE วงเงินไม่เกิน 1.5 พันลบ. ที่ระดับ “BBB-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 9, 2018 17:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ที่ระดับ “BBB" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB-" ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB-" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการดำเนินงาน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์สินค้าของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางถึงบน ตลอดจนยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวนมากซึ่งช่วยประกันรายได้ในอนาคตของบริษัทได้ส่วนหนึ่ง รวมถึงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงของประเทศและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนซึ่งมีผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลางถึงสูงในระยะสั้นถึงปานกลางด้วย

NOBLE เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งมีราคาขายตั้งแต่ 120,000 บาทจนถึง 270,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) เป็นหลัก นอกจากนี้ สินค้าที่อยู่อาศัยของบริษัทยังรวมถึงบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และที่ดินจัดสรรด้วย บริษัทมีการออกแบบที่อยู่อาศัยทุกประเภทอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ณ เดือนกันยายน 2560 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยเหลือขาย 16 โครงการ โดย 90% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ที่เหลือเป็นโครงการบ้านจัดสรร บริษัทมีมูลค่าเหลือขายของโครงการที่อยู่อาศัย (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง) เท่ากับ 19,000 ล้านบาทและมียอดขายที่รอการรับรู้รายได้จำนวน 13,000 ล้านบาท

ยอดขายของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 เท่ากับ 2,533 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากยอดขายของโครงการ Noble Around Sukhumvit 33 รายได้ของบริษัทปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 4,503 ล้านบาทในปี 2559 และ 7,828 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 จาก 373 ล้านบาทในปี 2558 ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ในโครงการ Noble Ploenchit ตั้งแต่ปลายปี 2559

ทั้งนี้ ยอดขายที่รอการส่งมอบในปัจจุบันช่วยประกันรายได้บางส่วนจำนวน 2,700-3,700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 รายได้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5,000-9,000 ล้านบาทต่อปีโดยได้รับแรงหนุนบางส่วนจากยูนิตที่เหลือขายในโครงการ Noble Ploenchit มูลค่าประมาณ 9,000 ล้านบาท

อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 42-43% ของรายได้รวมในช่วงปี 2559 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2560 จาก 38-40% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเป็น 26% ในปี 2559 และ 32% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 จาก -113% ในปี 2558 และ 14% ในปี 2557 ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 20% ของรายได้รวม

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 76% ณ เดือนธันวาคม 2559 และ 66% ณ เดือนกันยายน 2560 จาก 79% ณ เดือนธันวาคม 2558 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนลดลงเป็น 1.77 เท่า ณ เดือนกันยายน 2560 ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดทางการเงินที่อัตราส่วนดังกล่าวต้องไม่เกิน 2.5 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวนมากซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 13,000 ล้านบาทในปี 2561 และ 23,000 ล้านบาทในปี 2562 แม้บริษัทจะมีการขยายธุรกิจเชิงรุก แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ประมาณ 65% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ประมาณ 2 เท่าเอาไว้ได้เพื่อที่จะคงสถานะอันดับเครดิตที่ระดับปัจจุบันไว้

เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรที่ปรับดีขึ้นและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ต่ำลงจึงทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 7% ในปี 2559 และ 28% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 จาก -4% ในปี 2558 และ 2% ในปี 2557 สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังคงเพียงพอ โดย ณ เดือนกันยายน 2560 สภาพคล่องทางการเงินประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 995 ล้านบาทและวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีก 2,770 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินจากการผ่อนดาวน์ของลูกค้าอีก 20%-30% ของราคาขายที่อยู่อาศัยด้วย

ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 3,520 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 685 ล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 1,848 ล้านบาท และเงินกู้โครงการระยะยาวจำนวน 987 ล้านบาท ในการนี้ บริษัทจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดชำระและจะชำระหนี้เงินกู้โครงการด้วยเงินสดที่ได้รับจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมต่าง ๆ ของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินเอาไว้ได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ 5,000-9,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้ได้อย่างน้อย 20% ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนควรอยู่ที่ประมาณ 65% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ประมาณ 2 เท่า

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่คาดการณ์ไว้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากขนาดธุรกิจของบริษัทขยายใหญ่ขึ้นและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ