SCC คาดยอดขายปีนี้โต 5-6% หลังราคาผลิตภัณฑ์สูง-ดีมานด์ปูนกลับมาโต,เล็งเคาะปิโตรฯคอมเพล็กซ์เวียดนาม Q1/61 หลังล่าช้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 24, 2018 16:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเอสซีจี คาดว่ายอดขายปี 61 จะเติบโต 5-6% จากปีก่อน หลังราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสูงขึ้น และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศจะกลับมาเติบโต 2-3% จากโครงการลงทุนของภาครัฐ แต่ภาพรวมผลการดำเนินงานยังมีความเสี่ยงจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น พร้อมยอมรับโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์เวียดนามล่าช้ากว่าแผน 3-6 เดือนเหตุต้องเจรจารายละเอียดร่วมกับพันธมิตรเวียดนามให้ชัดก่อน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/61 และเริ่มก่อสร้างในครึ่งแรกปีนี้

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ SCC เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์ยอดขายปี 61 เติบโตราว 5-6% จาก 4.51 แสนล้านบาทในปีที่แล้ว จากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่สูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน และกำลังการผลิตรวมที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มบรรจุภัณฑ์

สำหรับความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศปีนี้คาดว่าจะกลับมาเติบโตราว 2-3% จากระดับ 37.5 ล้านตันในปีที่แล้ว ซึ่งลดลง 5% จากปี 59 โดยความต้องการใช้ปูนปีนี้ได้รับแรงหนุนจากโครงการลงทุนภาครัฐ ส่วนการลงทุนของภาคเอกชนยังคงจำกัดการเติบโตเฉพาะส่วน เช่น ภาคท่องเที่ยว ธุรกิจการค้าชายแดน ส่วนภาคอุตสาหกรรมยังไม่ชัดเจน ขณะที่แนวโน้มราคาวัสดุก่อสร้างจะยังถูกกระทบจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นตามต้นทุนพลังงาน ส่วนราคาวัสดุก่อสร้างขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแข่งขัน

ด้านธุรกิจปิโตเรคมีในปีนี้ คาดว่าส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) กับแนฟทาจะอยู่ในช่วง 600-700 เหรียญสหรัฐ/ตัน จาก 650 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีที่แล้ว ซึ่งยังค่อนข้างสูง เนื่องจากความต้องการใช้ยังคงเติบโตต่อเนื่องตามเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัว และกำลังการผลิตใหม่ในตลาดที่เข้ามาในช่วงปลายปีที่แล้วต่อเนื่องต้นปีนี้แม้จะมีออกมาระดับหนึ่ง แต่คาดว่าในช่วงปลายปีคงไม่มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นมากนัก

ด้านปัจจัยเสี่ยงของบริษัทในปีนี้ คือต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ส่วนความต้องการใช้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เพราะเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ยังคงเติบโต โดยเฉพาะในอาเซียน รวมถึงเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกและธุรกิจที่มียอดขายในต่างประเทศของกลุ่มบริษัท โดยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท/เหรียญสหรัฐ กระทบต่อผลกำไรทั้งปีราว 2 พันล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้บริษัทต้องเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน รวมถึงป้องกันความเสี่ยงบางส่วนเมื่อมีการตกลงซื้อขายสินค้าแล้วเพื่อลดความผันผวนในระดับหนึ่ง

ส่วนผลกระทบเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้นไม่น่าจะมีมาก เพราะปัจจุบันค่าแรงโดยส่วนใหญ่ของกลุ่มบริษัทไม่ได้อิงตามค่าแรงขั้นต่ำ และบริษัทยังไม่มีแผนที่จะปรับลดพนักงาน แต่จะมีการเพิ่มการอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพของพนักงานให้สอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินการของบริษัท

“ในปี 61 ยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังจากต้นทุนวัตถุดิบปิโตรเคมีและแพ็คเกจจิ้งที่เพิ่มขึ้น ราคาต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ตลอดจนสภาพการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรง โดยเฉพาะซิเมนต์ เอสซีจีจึงเร่งเตรียมความพร้อมในหลายด้าน เช่น การขยายธุรกิจบริการ และ Solutions อย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยี Automation และ Robotics เข้ามาเสริมประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ พร้อมกันนี้จะจัดตั้ง Reskill Training Program เพื่อพัฒนาทักษะพนักงาน ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ใหม่เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและการขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศ"นายรุ่งโรจน์ กล่าว

นายรุ่งโรจน์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ที่ระดับ 6 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนนี้เป็นการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ เวียดนามราว 2 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในโครงการอื่น ๆ รวมถึงการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่บริษัทยังคงมองหาการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในปีที่ผ่านมาบริษัทใช้เงินลงทุนราว 4.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย หลังจากมีความล่าช้าของโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในเวียดนาม

นายรุ่งโรจน์ กล่าวถึงโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเวียดนาม คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือน โดยได้เจรจาเป็นแพ็กเกจทั้งการก่อสร้าง การจัดหาแหล่งเงินลงทุน และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มของพันธมิตร

“ตอนนี้อยู่ระหว่างพูดคุยกับ partner เวียดนาม สักพักคงจะมีรายละเอียดมาเล่าให้ฟังว่ามีความคืบหน้าอย่างไร ขอเวลา 2-3 เดือน เราคุยรวมแพ็กเกจ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง การจัดหาแหล่งเงินทุน และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางกลุ่ม partner เวียดนาม"นายรุ่งโรจน์ กล่าวตอบคำถามถึงกรณีมีข่าวว่า SCC สนใจจะซื้อหุ้นเพิ่มในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในเวียดนาม

อนึ่ง โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม มีมูลค่าโครงการ 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.88 แสนล้านบาท โดยกลุ่ม SCC ถือหุ้น 71% ร่วมกับ Vietnam Oil and Gas Group (Petro Vietnam) ถือหุ้น 29% โดยโครงการดังกล่าวได้คัดเลือกกลุ่มผู้รับเหมาแล้ว และคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปีครึ่ง เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ภายในครี่งแรกปี 65

นายเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน ของ SCC กล่าวว่า โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามล่าช้ากว่าแผนล่าสุดราว 3-6 เดือน จากเดิมที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 4/60 และเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 61 แต่ล่าสุดโครงการยังอยู่ระหว่างการเจรจาและการสรุปแผนจัดหาเงินลงทุน (financial close) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/61 และจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในครึ่งแรกของปีนี้

ขณะที่ความคืบหน้าการศึกษาโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ แห่งที่ 2 ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการลงทุนภายใต้ PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 30% นั้น คาดว่าภายในปลายปีนี้จะได้ข้อสรุปทั้งเรื่องเงินลงทุน และการถือหุ้นเพิ่ม และแผนระยะเวลาการดำเนินการ

ส่วนความคืบหน้าในการศึกษาลงทุนใหม่ของเครือ SCC ในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปัจจุบันอยู่ระหว่างหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อลงทุนต่อยอดจากฐานผลิตที่มีอยู่ในพื้นที่ เช่น ปิโตรเคมี,บรรจุภัณฑ์ โดยศึกษาอยู่ 2-3 โครงการ ซึ่งจะเป็นโครงการขนาดใหญ่ 1 โครงการ แต่ยังต้องรอความชัดเจนเรื่องร่างกฎหมายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่จะออกมาด้วย โดยเบื้องต้นคาดว่าโครงการใหม่ใน EEC จะมีความชัดเจนภายในปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ