JWD ปรับเป้ารายได้ปีนี้เป็นโตไม่ต่ำกว่า 30% พร้อมดันอัตรากำไรสุทธิเพิ่ม,ใกล้สรุปดีลร่วมทุนในเวียดนาม

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 16, 2018 12:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้ารายได้ปีนี้เป็นเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกรายได้เติบโตๆไปแล้วถึง 31.6% และภาพรวมรายได้ในครึ่งปีหลังเชื่อว่ายังเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากการลงทุนในบริษัท Chi Shan Long Feng Food Co., Ltd. (CSLF) ผู้ให้บริการด้านอาหาร (Food Service) ในประเทศไต้หวันที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น

ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ก็จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น หลังจาก JWD เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน Phnom Penh SEZ Plc. (PPSEZ) ที่ดำเนินธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กัมพูชาเป็น 14.61% จากเดิม 5.18% และเข้าถือหุ้น 40% ในบริษัท Bok Seng PPSEZ Dry Co., Ltd (Bok Seng) เพื่อรับสิทธิ์บริหารจัดการสถานีบรรจุและแยกสินค้า ธุรกิจคลังสินค้าและให้บริการขนส่งในเขตนิคมฯ พนมเปญเป็นที่เรียบร้อย

ขณะที่การดำเนินธุรกิจหลัก อาทิ ธุรกิจห้องเย็น ให้บริการขนส่งสินค้า รับขนย้าย ยังมีทิศทางการเติบที่ดีต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากคลังสินค้า 64% Transport 16% Relocate 16% และ อาหาร 4%

ด้านอัตรากำไรสุทธิในปีนี้บริษัทยังคงมั่นใจว่าจะผลักดันให้สูงขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 10% จากช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 6.25% เนื่องจากธุรกิจอาหารในประเทศใต้หวันเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และการรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ๆ มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับ บริษัทเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นอาจจะต่ำกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 20.66% เนื่องจากปีนี้มีการลงทุนค่อนข้างมาก และธุรกิจอาหารในใต้หวันมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับธุรกิจห้องเย็นที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 40%

นายชวนินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเตรียมสรุปแผนการเข้าร่วมลงทุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของเวียดนาม โดยมีการเจรจามายาวนานถึง 3 ปี แล้ว คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/61 นี้

"อาจจะเป็นเรื่องยากหน่อยที่เรามีการเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการหรือร่วมลงทุน เพราะต้องมีความรอบครอบในการศึกษา และมองหาธุรกิจที่มีความเหมาะสม สำหรับประเทศเวียดนามเองก็เป็นประเทศหนึ่งที่การลงทุนค่อนข้างยาก เราจึงต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างมากกว่าจะสรุปได้"นายชวนินทร์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ