AQ มั่นใจประมูลขายที่ดิน 4,300 ไร่ใน Q4/61 ได้มูลค่าสูงกว่า 8.95 พันลบ.ใช้หนี้ KTB-ลดขาดทุนสะสมก่อนเดินหน้าลุยธุรกิจ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 28, 2018 12:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.เอคิว เอสเตท (AQ) เปิดเผยว่า การขายที่ดิน 4,300 ไร่ มูลค่า 8.95 พันล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลได้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/61 หลังเลื่อนมาจากรอบล่าสุดในวันที่ 8 ส.ค.61 ซึ่งตามหลักเกณฑ์จะสามารถเปิดประมูลได้อีกครั้งภายใน 75 วัน

"บริษัทค่อนข้างมีความมั่นใจการประมูลในรอบถัดไปมีโอกาสประสบความสำเร็จ จากการที่ศาลมีคำสั่งงดการบังคับคดีจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งเป็นการปลดล็อกให้บริษัทสามารถเปิดประมูลขายที่ดินได้ หลังจากที่ผ่านมามีผู้ฟ้องร้องเข้ามาทำให้ต้องมีการเลื่อนประมูลออกไป"นายวิรัตน์ กล่าว

บริษัทมองว่าการขายที่ดินทั้งแปลง 4,300 ไร่จะได้ราคาขายที่ดีกว่าการแบ่งขาย และที่ดินดังกล่าวมีศักยภาพมาก เพราะทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ อีกทั้งขณะนี้มีผู้สนใจรายหลายแสดงความต้องการจะเข้าร่วมประมูลมาเป็นจำนวนมาก โดยกติกาการประมูลกำหนดให้ผู้เข้าร่วมจะต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันวงเงิน 500 ล้านบาท ขณะที่บริษัทคาดว่าจะสามารถขายที่ดินได้มูลค่ามากกว่า 8.95 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นความชัดเจนของกระบวนการทั้งหมดในช่วงไตรมาส 4/61

นายวิรัตน์ กล่าวว่า หลังจากการประมูลที่ดิน 4,300 ไร่เสร็จสิ้นแล้ว บริษัทจะนำเงินไปชำระคืนเงินกู้ยืมของธนาคารกรุงไทย (KTB) ที่ยังมีมูลหนี้เหลืออยู่ 8.36 พันล้านบาทในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 62 และจะทำให้ผลขาดทุนสะสมของบริษัทลดลงเหลือ 3.31 พันล้านบาท จากปัจจุบันที่มีผลขาดทุนสะสมราว 6.37 พันล้านบาท โดยผลขาดทุนสะสมเกิดขึ้นมาจากการบันทึกตั้งสำรองหนี้สินคดี KTB ราว 3 พันล้านบาท

พร้อมกันนี้ บริษัทจะดำเนินการแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อปลดเครื่องหมาย C ออกหลังจากการแก้ปัญหาหนี้สินกับ KTB แล้วเสร็จ และเตรียมวางแผนลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการนำโครงการคอนโดมินียมย่านรัตนาธิเบศร์ที่บริษัทเคยวางแผนไว้กลับมาพัฒนาใหม่อีกครั้ง เนื่องจากบริษัทมองว่าทำเลดังกล่าวยังมีศักยภาพหลังจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงเริ่มเปิดให้บริการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และซัพพลายของโครงการในย่านดังกล่าวก็ถูกดูดซับไปมากแล้ว

รวมถึงมองโอกาสในการพัฒนาโครงการอื่น ๆ เพิ่มเติม เพราะบริษัทคาดว่าจะได้รับความเชื่อถือมากขึ้นจากสถาบันการเงินในการให้เงินกู้ยืมเพื่อนำมาพัฒนาโครงการ จากปัจจุบันที่บริษัทใช้เงินสดที่สำรองไว้มาพัฒนาโครงการ โดยเน้นไปที่โครงการแนวราบที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีความต้องการซื้อในตลาดต่อเนื่อง ซึ่งในครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการแนวราบใหม่ 2 โครงการ มูลค่ารวม 800-1,000 ล้านบาท ได้แก่ ในทำเลถนนเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9 เฟส 2 มูลค่า 300-400 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวในจังหวัดชลบุรี มูลค่า 500-600 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกบริษัทเปิดโครงการแนวราบในย่านรังสิต มูลค่า 200-300 ล้านบาท ได้ขายและโอนไปทั้งหมดแล้ว และโครงการแนวราบใกล้กับสวนสยาม มูลค่า 200-300 ล้านบาท มียอดขาย 50% และจะเริ่มทยอยโอนต่อเนื่องมาในครึ่งปีหลังนี้

นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้ประจำจากธุรกิจโรงแรมในต่างจังหวัด 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรม Shasa Resort & Residences เกาะสมุย และโครงการ Malibu Resort & Beach Club เกาสมุย ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 60-70% รวมทั้งโรงแรม Flora Creek เชียงใหม่ ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 40% ช่วยสนับสนุนรายได้ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง

และในเดือน ส.ค.นี้บริษัทได้เปิดให้บริการโรงแรม ALIX Hotel ใกล้กับโรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย จำนวน 100 ห้อง ซึ่งมีลูกค้าจองเข้ามาเข้าพักเป็นจำนวนมาก

นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะดีขึ้นจากครึ่งปีแรก เพราะมีการเปิดขายและรับรู้โครงการแนวราบใหม่ 2 โครงการ และมีการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการแนวราบที่ขายไปแล้ว ประกอบกับยังมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมเข้ามาเสริม หลังจากที่ครึ่งปีแรกผลประกอบการพลิกมีกำไร 41 ล้านบาท ขณะที่มองว่าหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการขายที่ดิน 4,300 ไร่ และชำระคืนหนี้ KTB แล้วเสร็จ สถานการณ์และผลการดำเนินงานของบริษัทจะดีขึ้นตามลำดับ


แท็ก ลุย  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ